6 ประเด็นสำคัญของ "แฟชั่น" แบรนด์ลดก๊าซเรือนกระจกไม่เร็วพอ

22 ธ.ค. 2566 | 04:46 น.
อัปเดตล่าสุด :22 ธ.ค. 2566 | 05:06 น.

สรุป 6 ประเด็นที่สำคัญของ "อุตสาหกรรมแฟชั่น" แบรนด์ลดก๊าซเรือนกระจกไม่เร็วพอ หลายแบรนด์ไม่อยู่ในแนวทางที่จะปฏิบัติตามพันธกรณีด้านสภาพอากาศ

อุตสาหกรรมแฟชั่น คิดเป็นสัดส่วน 10% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนทั่วโลก เป็นหนึ่งในปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ใหญ่ที่สุดในยุคนี้  แฟชั่นเพียงอย่างเดียวก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่าภาคการบินและการขนส่งรวมกันและเกือบ 20% ของน้ำเสียทั่วโลก หรือประมาณ 93 พันล้านลูกบาศก์เมตรจากการย้อมสิ่งทอ ตามรายงานของ โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ

มีการคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมแฟชั่นดำเนินการไม่มากพอ โดยหลายแบรนด์ไม่อยู่ในแนวทางที่จะปฏิบัติตามพันธกรณีด้านสภาพอากาศ บริษัทแฟชั่นหลายแห่งสมัครใจกำหนดเป้าหมายซึ่งหมายความว่าต้องมุ่งมั่นที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามข้อตกลงปารีส ถือเป็นช่วงเวลาที่จะต้องมีความชัดเจนว่าแบรนด์ใดได้ทำ และแบรนด์ใดที่เป็นผู้นำที่แท้จริง และพร้อมที่จะทำงานเพื่อไปให้ถึงจุดนั้นจริงๆ ข้อมูลจาก Vogue.co.uk ระบุว่า ในงาน COP28 พบว่า มีความคืบหน้าไม่เพียงพอในเรื่องการดำเนินการด้านสภาพอากาศของอุตสาหกรรมแฟชั่น เเละสรุปประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมเเฟชั่นกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

แบรนด์ต่างๆ ยังคงลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ไม่เร็วพอ

รายงานฉบับใหม่โดย Stand.Earth องค์กรไม่แสวงหากำไรพบว่า 9 ใน 14 แบรนด์แฟชั่นหลักที่พิจารณา (ทั้งหมดเป็นผู้ลงนามในกฎบัตรแฟชั่นของ UN) รายงานว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยรวมลดลงระหว่างปี 2018/2019 ถึง 2022 การศึกษาพบว่ามีเพียง 4 แบรนด์เท่านั้น ได้แก่ Levi's Kering, Ralph Lauren และ Gap คาดว่าจะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในปี 2030 เพื่อให้สอดคล้องกับการรักษาภาวะโลกร้อนให้ต่ำกว่า 1.5 องศาเซลเซียส ในขณะเดียวกัน 10 แบรนด์ที่เหลือจะล้มเหลวเว้นแต่จะมีการดำเนินการอย่างจริงจังในห่วงโซอุปทานโดยเฉพาะจากการผลิตในการเปลี่ยนมาใช้พลังงานหมุนเวียน  

ผู้เล่นรายใหญ่ลงทุนในพลังงานทดแทน

เพื่อให้อุตสาหกรรมแฟชั่นบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ จำเป็นต้องเปลี่ยนจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในห่วงโซ่อุปทาน แต่ก็เป็นเรื่องยากสำหรับแบรนด์ที่จะทำเพียงอย่างเดียว นั่นเป็นสาเหตุที่ Global Fashion Agenda ประกาศโครงการลมนอกชายฝั่งมูลค่า 100 ล้านดอลลาร์เพื่อช่วยลดการปล่อยคาร์บอนในการผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปในบังกลาเทศ โดยมี H&M Group และ Bestseller ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของแบรนด์ต่างๆ รวมถึง Vero Moda และ Only เป็นแบรนด์แรกๆ ที่จะดำเนินการ

แคมเปญ We Wear Oil เรียกร้องให้ยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลจากอุตสาหกรรมแฟชั่น

แคมเปญอันทรงพลังที่เปิดตัวโดยนักเคลื่อนไหวด้านสภาพอากาศ แคมเปญ Fossil Fuel Fashion เน้นย้ำว่าเสื้อผ้าส่วนใหญ่ของเรายังคงทำจากผ้าสังเคราะห์ที่ได้มาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น โพลีเอสเตอร์ อะคริลิค และอีลาสเทน

ภาพที่มีชื่อว่า "We Wear Oil" แสดงให้เห็นว่า Sophia Kianni นักเคลื่อนไหวชาวอิหร่าน-อเมริกัน ผู้ก่อตั้งและกรรมการบริหารของ Climate Cardinals ปกคลุมไปด้วยสารคล้ายน้ำมัน แคมเปญดังกล่าวเกิดขึ้นในเวลาเดียวกับรายงานใหม่โดย Textile Exchange ซึ่งเปิดตัวในช่วง COP28 เช่นกัน พบว่าการผลิตเส้นใยสังเคราะห์จากฟอสซิลบริสุทธิ์เพิ่มขึ้นจาก 63 ล้านตันเป็น 67 ล้านตันในปี 2022 ในขณะที่โพลีเอสเตอร์คิดเป็น 54% ของเส้นใยทั้งหมดที่ผลิตขึ้นมา

ภาพจาก IG FossilFuelFashion

Stella McCartney นำเสนอนวัตกรรมใหม่

หลังจากจัดแสดง Future of Fashionที่ COP26 ในเมืองกลาสโกว์ Stella McCartney ได้เน้นย้ำที่งาน COP28 ในนิทรรศการที่ได้รับการสนับสนุนจาก LVMH โดยมีเลื่อมจากชีวภาพของ Radiant Matter และ Kelsun ซึ่งเป็นเส้นใยจากสาหร่ายทะเลของ Keel Labs และหนังทางเลือกทดแทนพลาสติกของ Natural Fiber Welding อย่าง Mirum ทั้งหมดนี้จัดแสดงที่นั่น

ในระหว่างการประชุม แบรนด์ยังได้ประกาศความร่วมมือกับ AirCarbon ซึ่งเป็นทางเลือกทดแทนหนังที่มีคาร์บอนต่ำ และ Mango Material ซึ่งสร้างทางเลือกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพแทนพลาสติก พร้อมทั้งเปิดตัวเสื้อคลุมตัวแรกซึ่งเป็นขนสัตว์เทียมจากพืช

 

 

กลุ่มแคมเปญต้องการความโปร่งใสมากขึ้น

การขาดความโปร่งใสจากแบรนด์ต่างๆ ทำให้ยากต่อการติดตามว่าอุตสาหกรรมแฟชั่นกำลังดำเนินการตามเป้าหมายด้านสภาพอากาศอย่างไร ซึ่งเป็นสาเหตุที่องค์กรต่างๆ เช่น Fashion Revolution, Stand.Earth และ Action Speaks Louder กำหนด ข้อเรียกร้องที่ชัดเจนสำหรับบริษัทยักษ์ใหญ่ รวมถึงสรุปวิธีและสถานที่ผลิตเสื้อผ้า จำนวนที่ผลิต และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การกำหนดเป้าหมาย การเปิดเผยวิธีการตั้งเป้าหมาย และการรายงานความคืบหน้า และแบ่งปันว่าวางแผนที่จะบรรลุเป้าหมายเหล่านั้นอย่างไร

กฎหมายมีความสำคัญ

กฎหมายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการเร่งให้อุตสาหกรรมแฟชั่นเกิดการเปลี่ยนแปลง ดังที่เห็นได้จากการอนุมัติกฎหมายการออกแบบเชิงนิเวศน์ฉบับใหม่ของสหภาพยุโรป ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับ COP28 จะมีการห้ามการทำลายสิ่งทอและผลิตภัณฑ์รองเท้าที่ขายไม่ออก รวมถึงข้อกำหนดอื่น ๆ ที่ออกแบบมาเพื่อปรับปรุงการหมุนเวียนของผลิตภัณฑ์

The Fashion Act เป็นร่างกฎหมายกำหนดให้แบรนด์ที่ทำธุรกิจในนิวยอร์ก โดยมีรายได้ทั่วโลกต่อปี 100 ล้านดอลลาร์หรือมากกว่านั้น เปิดเผยข้อมูลบางอย่างและกำหนดเป้าหมาย