จากที่ประเทศไทยได้ทำลายสถิติ New High ในการบริโภคไฟฟ้า สูงสุดในช่วงปลายเดือนเมษายน และ ทำลายสถิติร้อนที่สุดเกือบ 45 องศาเลยทีเดียว ซึ่งมีผลต่อการใช้ชีวิตของพี่น้องประชาชนอย่างมากจึงสังเกตได้ถึงความตื่นตัวอย่างมากจากองค์กร, สถาบัน หรือนักวิชาการ ที่ออกมาเตือนและสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชน ต่อสภาพการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศอย่างรุนแรง
ดังนั้น การเตรียมตัว และการรับมือกับภัยธรรมชาติ ที่เราอาจจะยังคาดไม่ถึง โดยเฉพาะกับคนเมืองในการรับมือกับปรากฏการณ์เกาะความร้อนกลางเมือง หรือ Urban Heat Island ซึ่งนับวันจะยิ่งร้อนระอุขึ้นไปอีก
การที่คนยิ่งร้อนก็ยิ่งเปิดเครื่องปรับอากาศ ซึ่งเป็นตัวเร่งสำคัญในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพราะเมื่อเราเปิดใช้งาน เครื่องปรับอากาศ ก็จะมีการปล่อยสารเคมีที่ชื่อว่า “ก๊าซไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน” (HFC) ซึ่งเป็นองค์ประกอบของก๊าซเรือนกระจกที่ส่งผลกระทบรุนแรงกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) หลายเท่าเลยทีเดียว จนทำให้ยอดขายเครื่องปรับอากาศมียอดขายถล่มทลายในหลายประเทศในแถบเอเชีย ไม่ใช่เฉพาะแค่ประเทศไทยประเทศเดียว
ประเทศที่เราให้การยอมรับถึงความเป็นผู้นำเทรนด์เมืองสีเขียว คือประเทศสิงคโปร์ หรือมีอีกชื่อเรียกว่า Garden City ซึ่งรัฐบาลสิงคโปร์ให้ความสำคัญกับเรื่องการป้องกัน และจัดการปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม และมีการจัดตั้งโครงการ “Cooling Singapore” มาตั้งแต่ปี 2560 โดยระดมนักวิจัยระดับแนวหน้าเพื่อศึกษาแนวทางบรรเทาปรากฏการณ์นี้ให้กับเมืองต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งนำเอาเทคโนโลยีการโดยรวบรวมเอาโมเดลการคำนวณด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อม พื้นผิวดิน อุตสาหกรรม การจราจร การใช้พลังงานภายในอาคาร ตลอดจนแบบจำลองสภาพภูมิอากาศระดับภูมิภาคและจุลภาค เพื่อนำข้อมูลมาใช้ประเมินสถานการณ์ Urban Heat Island
แม้ว่าประเทศสิงคโปร์เอง ที่มีพื้นทีสีเขียวต่อประชากรสูงถึง 66 ตารางเมตรต่อคน ยังพบว่าอุณหภูมิเฉลี่ยในเมืองสูงกว่าพื้นที่ชนบทกว่า 4-7 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว นี่ขนาดสิงคโปร์มีอาคารเขียวจำนวนมาก ไม่ว่าจะมีสวนบนหลังคา หรือสวนแนวตั้งที่ช่วยลดอุณหภูมิ และเป็นปอดให้กับเมือง ซึ่งถูกผลักดัน และสนับสนุนโดยรัฐบาลสิงคโปร์ มาโดยตลอดแล้วก็ตาม
ที่สำคัญคือ มีการใช้โมเดลที่มีส่วนช่วยลดอุณหภูมิของเมืองอย่างเห็นได้ชัด คือ ระบบ District Cooling System ซึ่งเป็นหลักการนำเอาความร้อนที่ทิ้งจากโรงไฟฟ้ามาใช้ในการทำนํ้าเย็น จากนั้นจึงนำนํ้าเย็นนี้ไปสร้างความเย็นให้กับระบบปรับอากาศอีกรอบหนึ่ง ซึ่งระบบนี้ฝังอยู่ใต้ดินลึกลงไป 25 เมตรในแถบย่าน Marina Bay ซึ่งหากใช้ระบบ DCS นี้ถึงหนึ่งปี จะสามารถลดการปล่อยก๊าซ CO2 ได้ถึง 18%
จากการประหยัดพลังงานและลดการใช้สารทำความเย็นโดยเทียบเท่ากับการปล่อยคาร์บอนของรถยนต์ถึง 2,250 คันต่อปี โดยปัจจุบันก็มีระบบ DCS นี้ใช้ในโครงการ Mega Project ในไทย เช่น The Forestia ที่ถนนบางนา-ตราด และ One Bangkok พระราม 4 ซึ่งระบบจะสามารถช่วยประหยัดพลังงานให้กับโครงการ และยังช่วยลดอุณหภูมิภายในเมืองกรุงเทพฯได้อีกด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง