ภาวะโลกร้อนที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นในอนาคต คือปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของโลก ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่ทุกภาคส่วนต้องมีการบริหารจัดการความเสี่ยงเพื่อลดโอกาสที่จะเกิดความเสียหายต่อทรัพยากรขององค์กรและผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้เสีย รวมถึงตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ ภารกิจสำคัญประการหนึ่งของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คือ การพัฒนาตลาดทุนให้ยั่งยืน ด้วยการช่วยเสริมสร้างรากฐานที่แข็งแรง แก่ผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อให้พร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรอบด้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
ในส่วนของบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้มีการช่วยยกระดับคุณภาพและพัฒนา ศักยภาพให้ธุรกิจสามารถเติบโตและมีผลประกอบการที่ขยายตัวต่อเนื่อง อีกทั้งมีความมั่นคงทางการเงินไปพร้อมกับการดำเนินงานอย่างรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมภายใต้หลักบรรษัทภิบาล
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้พัฒนาระบบ ESG Data Platform ที่มีจุดเด่น คือ การออกแบบชุดข้อมูลที่เป็น Structured Data ที่เน้นนำเสนอข้อมูลเชิงปริมาณที่สามารถเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรม และข้อมูลทางการเงินอย่างสะดวก ประกอบด้วยข้อมูล ESG พื้นฐานที่จำเป็น อาทิ ปริมาณการใช้พลังงาน และทรัพยากร ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ข้อมูลเกี่ยวกับพนักงาน รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับคณะกรรมการบริษัท และเชื่อมต่อกับระบบนำส่งรายงาน 56-1 One Report
ระบบ ESG Data Platform มีจุดเด่น คือ การออกแบบชุดข้อมูลที่มีการจัดเรียงโครงสร้างอย่างชัดเจนหรือ Structured Data ที่เน้นนำเสนอข้อมูลเชิงปริมาณที่สามารถเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรม และข้อมูลทางการเงินอย่างสะดวก โดยจะรวบรวมข้อมูล ESG พื้นฐานที่จำเป็นและเริ่มเผยแพร่ข้อมูลผ่านช่องทางต่างๆ ของตลาดหลักทรัพย์ฯในระบบ SETSMART ภายในไตรมาสที่ 2 ของปี 2566
เมื่อพิจารณาข้อมูลปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) จากฐาน ESG Data Platform บริษัทที่จดทะเบียน (บจ.) ใน SET และ mai ทั้งหมด 835 บริษัท มีผลที่น่าสนใจดังนี้
บจ. ที่รายงานปริมาณการปล่อย GHG มีจำนวน 445 บริษัทในปี 2023 (คิดเป็น 50.3% ของบริษัททั้งหมด) เพิ่มขึ้นจาก 342 ในปี 2022 (คิดเป็นเพิ่มขึ้น 30%) ขณะที่จำนวนบริษัทที่ผ่านการทวนสอบการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์โดยผู้ทวนสอบเพิ่มขึ้น 47%
ปริมาณการปล่อย GHG ที่รายงานมาในปีล่าสุดอยู่ที่ 634 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ลดลง 6.1% จากปีก่อน
กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีปริมาณการปล่อย GHG สูง ได้แก่ กลุ่มพลังงาน กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และวัสดุก่อสร้าง และกลุ่มบริการ นอกจากนี้พบว่าปริมาณการปล่อย GHG สัมพันธ์กับปริมาณการใช้ไฟฟ้าอีกด้วย
ในที่ประชุม COP26 ตัวแทนของไทยให้คำมั่นว่าจะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Greenhouse Gas Emission) ภายในปี 2065
การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนดเอง (Nationally Determined Contribution: NDC) ของประเทศไทยจะดำเนินการผ่านแผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (NDC Roadmap on Mitigation) ระหว่างปี 2021-2030 ซึ่งแสดงศักยภาพในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดในปี 2030 เป็นจำนวน 115.6 ล้านตันของคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
สาขาที่มีศักยภาพสูงสุดในการลดคือ ภาคพลังงานและการขนส่ง โดยมีมาตรการสำคัญ คือการส่งเสริมการเปลี่ยนไปใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นแหล่งพลังงานหลักและการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานในกิจกรรมอุตสาหกรรมและการขนส่ง
บริษัทจดทะเบียนใน SET และ mai ที่มีการตั้งเป้าหมายเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระยะสั้นคิดเป็น 24% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด และมีส่วนต่างระหว่าง เป้าหมายการปล่อยและปริมาณการปล่อย GHG จริงในปี 2023 อยู่ที่ 2.1 เท่า
กลุ่มอุตสาหกรรมมีจำนวนบริษัทที่มีการตั้งเป้าควบคุมการปล่อย GHG มากที่สุดได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี คิดเป็น 41% ของจำนวนบริษัทในกลุ่ม อีกทั้งหากพิจารณาส่วนต่างระหว่างเป้าหมายและปริมาณการปล่อย GHG ในปี 2023 ของกลุ่มเทคโนโลยีอยู่ที่ 0.9% เท่านั้น
ในส่วนของกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีปริมาณการปล่อย GHG สูงอย่างเช่น กลุ่มพลังงาน กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง รวมถึง กลุ่มบริการ มีการตั้งเป้าหมายเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระยะสั้นค่อนข้างท้าทาย แสดงให้เห็นว่าบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวตระหนักถึงความสำคัญ และจำเป็นต้องเร่งจัดทำแผนงานการติดตามความคืบหน้าที่ชัดเจนเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
การเปิดเผยข้อมูลการปล่อย Scope 1 และ Scope 2 มีสัดส่วนมากกว่า Scope 3 ซึ่งยังเป็นการเปิดเผยตามความสมัครใจ นอกจากนี้ การรายงาน Scope 3 เป็นเรื่องยากเนื่องจากมีความซับซ้อนหลายประการที่ทำให้การเก็บรวบรวมข้อมูลท้าทายมากกว่าโดยเฉพาะสำหรับบริษัทขนาดเล็กที่มีทรัพยากรค่อนข้างน้อย
การเผชิญกับความท้าทายเหล่านี้ บริษัทจำเป็นต้องมีการวางแผนและจัดการที่ดี ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการเปิดเผยข้อมูลการปล่อย GHG ของบริษัทจดทะเบียน เช่น กรณีที่ภาครัฐให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund) ทำให้มีบจ.ที่ไม่ได้อยู๋ใน SET ESG มีแรงจูงใจในการเปิดเผยข้อมูลการปล่อย GHG เพิ่มขึ้น 43% YoY
นอกจากนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการเปิดเผยข้อมูล การให้แรงจูงใจโดยการลดค่าธรรมเนียมกับบจ. การให้ความรู้รวมถึงการสร้างความร่วมมือกับองค์กรภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง