นับเป็นครั้งที่ 2 ของ ดร.บุณณดา สุปิยพันธุ์ หรือ ดร.เอ๋ นักสันติวิธี ในการลงชิงเก้าอี้ ส.ส. ภายใต้โลโก้พรรคพลังประชารัฐ กับเขตเลือกตั้งใหม่(เขตเลือกตั้งที่ 32) จากผลงานการแบ่งเขตของ กกต. ซึ่งนอกจากเป็นเขตพื้นที่ใหม่ ที่ไม่ตรงกับข้อสอบเดิมแล้ว ยังมีบริบทของพรรคพลังประชารัฐที่เปลี่ยนไปจากการเลือกตั้งในปี 2562 แล้ว
ด้วยดีกรี ปริญญาเอก พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย บวกประสบการณ์ติดตัวมาทั้งการเป็นพิธีกรรายการเกี่ยวกับสังคมชุมชน ,วิทยาศาสตร์ การเป็นอาจารย์พิเศษด้านการสร้างสันติสุข กระทั่งประสบการณ์งานการเมืองในกรรมาธิการชุดต่างๆ ตั้งแต่ยุค สนช. โดยเฉพาะด้านสิทธิมนุษยชน ทำให้วันนี้ดร.เอ๋ ยังหยัดยืนอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ ด้วยความตั้งใจที่จะพาประเทศก้าวข้ามความขัดแย้ง
“ประเทศไทยมีความหลากหลายด้านวัฒนธรรม แนวความคิดที่แตกต่างกัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก แต่หากคนในประเทศสามัคคีกันได้มากขึ้น ประเทศไทยก็จะพัฒนาไปได้มากกว่านี้” ดร.เอ๋ ย้ำกับฐานเศรษฐกิจ ถึงเป้าหมายหลักในงานการเมือง
"ปลดล็อก ทลายGEN" คือหนึ่งโครงการ ที่ ดร.เอ๋ ได้ลงมือขับเคลื่อนแล้ว โดยการหาจุดเชื่อมจุดแชร์ความคิดเห็น ระหว่างคนรุ่นเก่าผู้มากประสบการณ์ และคนรุ่นใหม่ที่มีแนวความคิดที่กว้างขึ้น และแตกต่างไปจากเดิม ให้เกิดการรับฟังซึ่งกันและกัน เพื่อความเข้าใจในแต่ละGEN นำไปสู่การพัฒนาร่วมกัน
ดร.เอ๋ มองเห็นปัญหาในปัจจุบัน ที่อยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็ว บวกกับความเป็นพหุวัฒนธรรม จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการรับฟังกันให้มากขึ้นอย่างปราศจากอคติ และปลดล็อกอัตตาในตัวเองลง เวทีแลกเปลี่ยนความเห็นในมิติต่างๆ ของคนต่างวัยในแต่ละชุมชน จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่เริ่มดำเนินการ เพื่อกระจายไปในแต่ละพื้นที่ โดยนำร่องในพื้นที่ กทม. ภายใต้การนำของ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เพื่อเปลี่ยนทัศนคติร่วมกัน
มุมมองต่อปัญหาความขัดแย้งในอดีต เทียบกับปัจจุบันนั้น ดร.เอ๋เห็นว่า ในช่วง 10ปีที่ผ่านมาเป็นความขัดแย้งที่แบ่งขั้วแตกหักรุนแรง แต่ในปัจจุบันความขัดแย้งลดลง มีความผสมกลมกลืนกันมากขึ้น มีส่วนที่เปิดรับกันมากขึ้น แต่ความขัดแย้งระหว่างช่วงวัยมีมากขึ้น และต้องแก้ไข
สิ่งที่ดร.เอ๋ วางเป้าหมายในงานการเมือง คือการขับเคลื่อนกฎหมายเพื่อแก้ปัญหาด้านต่างๆให้กับประชาชน อีกภารกิจคือ ต้องการสร้างหลักสูตรเพื่อปลูกฝังเรื่อง "สติ"(mindfulness) ตั้งแต่ในเยาวชน รวมถึงการยอมรับเรื่องความแตกต่างระหว่างกัน เพราะดร.เอ๋ เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้สังคมแข็งแรงขึ้น เพราะสติ จะเป็นภูมิคุ้มกัน ป้องกันการชักจูงให้เกิดความขัดแย้งได้
"วัฒนธรรม นำเศรษฐกิจ" คืออีกหนึ่งความตั้งใจของ ดร.เอ๋ หากได้รับเลือกตั้งในครั้งนี้ เพราะต้องการผลักดันวัฒนธรรมของพื้นที่ฝั่งธน ซึ่งตั้งแต่วัดอรุณฯ ไปจนถึงวัดประยูร ย่านกุฎีจีน เป็นโซนของ 3ศาสนา 4 วัฒนธรรมความเชื่อ ที่สามารถผลักดันต่อยอดให้สร้างเศรษฐกิจของชาติได้
ดร.เอ๋ ทิ้งท้ายถึงความเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ว่า มีความสำคัญมากๆเพื่อการเปลี่ยนผ่าน ในขณะเดียวกันคนรุ่นพี่ ก็ต้องเป็นที่ปรึกษาเพื่อความรอบคอบรัดกุมยิ่งขึ้น โดยแพสชั่นในงานการเมืองที่จะทำให้ ดร.เอ๋ นั้น ก้าวเดินต่อไปก็คือ การเห็นประชาชนมีความสุข มีความมั่นคง มีงานทำ จนกว่าจะถึงวันที่มีคนรุ่นใหม่ที่เหมาะสม เข้ามาทำงานเพื่อประเทศชาติต่อไป