สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สิงคโปร์ ทั้งปรับและยกระดับมาตรการป้องกันและควบคุม การแพร่ระบาดของโควิด-19 มาหลายครั้งนับตั้งแต่เดือนพ.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากมีการติดเชื้อใหม่จากภายในประเทศมากขึ้น ซึ่งหลายรายเกิดจากไวรัสโควิดกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลต้าที่แพร่กระจายตัวได้ไวกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิม
ล่าสุด เมื่อวันที่ 22 ก.ค.ที่ผ่านมา ได้มีการปรับเพิ่มความเข้มข้นของมาตรการ โดยสั่งห้ามร้านอาหารให้ลูกค้ารับประทานภายในร้าน และจำกัดการรวมตัวกันในที่สาธารณะ ซึ่งหลังจากการประกาศใช้มาตรการที่เข้มงวดดังกล่าว จำนวนผู้ติดเชื้อโควิดใหม่รายวันก็เริ่มคงที่ ขณะเดียวกันรัฐบาลก็เร่งมือระดมฉีดวัคซีนป้องกันให้กับประชาชนจนสามารถเพิ่มยอดผู้รับวัคซีนแล้วครบโดส จากเดิมประมาณ 40% ประชากรทั้งประเทศเป็น 67% เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา (5 ส.ค.)
นายออง ยี คุง รัฐมนตรีสาธารณสุขสิงคโปร์ซึ่งเป็นประธานคณะทำงานเฉพาะกิจในการรับมือกับโควิด-19 จึงออกมาประกาศว่า หลังจากวันชาติสิงคโปร์ (9 ส.ค.) หรือวันจันทร์นี้เป็นต้นไป สิงคโปร์จะมีประชากรเกิน 70% ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว จึงเห็นสมควรที่จะผ่อนปรนมาตรการป้องกันและควบคุมที่เข้มงวดลง และจะทยอยเปิดประเทศเป็นลำดับ “เราสามารถหลีกเลี่ยงภาวะการแพร่ระบาดที่ไม่อาจควบคุมได้สำเร็จ รวมทั้งผู้ป่วยอาการรุนแรงและการเสียชีวิต ผมเชื่อว่าในวันจันทร์ (9 ส.ค.) ซึ่งเป็นวันชาติของเรานั้น จำนวนผู้ได้รับวัคซีนครบโดสจะอยู่ที่ประมาณ 70%”
เขาเปิดเผยว่า ทางการตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะฉีดวัคซีนให้ประชาชนให้ได้ 80% ของประชากรทั้งประเทศภายในต้นเดือนกันยายน
ทั้งนี้ สิงคโปร์ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่ขับเคลื่อนโครงการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดได้อย่างรวดเร็วที่สุดประเทศหนึ่ง แต่เนื่องจากจำนวนผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนและผู้ที่ยังได้รับวัคซีนไม่ครบโดสก็ยังมีอยู่อีกมาก ดังนั้นการผ่อนคลายมาตรการควบคุมจึงจะทำเป็นขั้นเป็นตอน และค่อยเป็นค่อยไป
โดยตั้งแต่วันอังคาร (10 ส.ค.) เป็นต้นไป สิงคโปร์จะเริ่มอนุญาตให้ประชนรวมกลุ่มกันได้มากขึ้น จากเดิมจำกัดที่สองคน ก็เพิ่มขึ้นเป็น 5 คน แต่ก็ขอร้องว่า ผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนไม่ควรรวมตัวกันเกินสองคน
ส่วนร้านอาหารสามารถเปิดรับลูกค้าให้นั่งรับประทานอาหารที่ร้านได้ โดยหากลูกค้าฉีดวัคซีนครบโดสแล้วหรือมีหลักฐานแสดงว่าตรวจหาเชื้อมาแล้วและผลเป็นลบในช่วงเวลาไม่เกิน 24 ชั่วโมง ก็สามารถนั่งรวมกันเป็นกลุ่มได้ถึง 5 คน แต่สำหรับกรณีนั่งกินดื่มในพื้นที่กลางแจ้งหรือนอกร้าน สามารถนั่งรวมกันได้เพียงสองคนเท่านั้น ไม่ว่าสถานการณ์ฉีดวัคซีนจะเป็นอย่างไร
สำหรับกรณีการกลับมา “เปิดประเทศ” ให้นักเดินทางที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว ตั้งแต่วันที่ 10 ส.ค.เป็นต้นไป สามารถเดินทางเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องกักตัว นอกจากนี้ นับตั้งแต่วันที่ 20 ส.ค.เป็นต้นไป ผู้เดินทางที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วที่มาจากบางประเทศ เช่น ออสเตรเลีย แคนาดา เยอรมนี และเกาหลีใต้ สามารถเข้าสิงคโปร์แล้วกักตัวที่บ้านพักของตัวเอง
นายกัน คิม ยอง รัฐมนตรีกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมสิงคโปร์ ซึ่งเป็นประธานร่วมของคณะทำงานเฉพาะกิจโควิด-19 กล่าวว่า ขณะนี้สิงคโปร์อยู่ในสถานะที่แข็งแรงมากขึ้นและแข็งแรงเพียงพอที่จะเปิดประเทศอีกครั้ง แต่จะเป็นการเปิดอย่างระมัดระวังและค่อยเป็นค่อยไป