สภาหอการค้าสหภาพยุโรป หรือ ยูโรแชม (EuroCham) เปิดเผยวานนี้ (10 ก.ย.) ว่า นักลงทุนจากยุโรปในเวียดนาม เตรียมพิจารณาย้ายการดำเนินงานไปยังประเทศอื่น หากมาตรการควบคุมการระบาดของโควิด-19 ในเวียดนามยังคงยืดเยื้อต่อไป
ผลสำรวจความคิดเห็นเดือน ก.ย.2564 ของ EuroCham ระบุว่า ผู้ตอบแบบสำรวจ 18% ระบุว่า ได้มีการย้ายการผลิตบางส่วนไปยังประเทศอื่นแล้ว ส่วนอีก 16% กำลังพิจารณาทางเลือกอยู่
นายอแลง คานี ประธาน EuroCham ระบุในแถลงการณ์ว่า สิ่งที่สมาชิกของยูโรแชมต้องการตอนนี้คือ แผนการที่ชัดเจนของรัฐบาลเวียดนาม นอกเหนือจากมาตรการในปัจจุบัน เพื่อแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินกิจกรรมทางการค้า และเพื่อให้สมาชิกมีแนวทางในการวางแผนกลับมาเปิดธุรกิจได้ต่อไป
ทั้งนี้ ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในเวียดนามพุ่งสูงขึ้นเมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ทำให้รัฐบาลเวียดนามบังคับใช้มาตรการควบคุมโรคทั่วประเทศ และส่งผลให้แรงงานรวมถึงบริษัทหลายแห่งต้องระงับการผลิตชั่วคราว ซึ่งส่งผลให้ยอดส่งออก ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม และยอดค้าปลีกในเดือนส.ค.ร่วงลง
นอกจากนี้ ภาคธุรกิจของยุโรปยังได้ขอให้เจ้าหน้าที่เวียดนามเร่งฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้เร็วขึ้น รวมถึงหาแนวทางให้สามารถขนส่งสินค้าได้อย่างราบรื่น ผ่อนคลายการเดินทางเคลื่อนย้ายแรงงาน และเร่งดำเนินการให้บรรดานักธุรกิจและนักลงทุนที่ฉีดวัคซีนแล้ว สามารถเดินทางเข้าประเทศได้
ปัจจุบัน เวียดนามมีอัตราการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ต่ำสุดในเอเชีย มีผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้วเพียง 4.3% จากประชากร 98 ล้านคน
เวียดนามเคยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับการยกย่องว่าสามารถป้องกันและบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 ได้อย่างยอดเยี่ยม แต่นับตั้งแต่ช่วงปลายเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา สถานการณ์ในเวียดนามก็เลวร้ายลง จากที่เคยพบผู้ติดเชื้อวันละหลักสิบ ก็กลายเป็นหลักหมื่น นอกจากนี้ นครโฮจิมินห์ ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเวียดนาม ยังได้กลายเป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาดระลอกที่ 4 เฉพาะในนครโฮจิมินห์นั้น ยอดผู้ป่วยโควิดสะสมเกือบ 260,000 ราย และมีผู้เสียชีวิตจากโควิด 10,685 ราย โดยข่าวระบุว่า ประมาณ 80% ของผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 และครึ่งหนึ่งของผู้ติดเชื้อในระลอกใหม่นี้ของทั้งประเทศเวียดนาม เกิดขึ้นในนครโฮจิมินห์
สถานการณ์ที่ยังไม่คลี่คลายทำให้เวียดนามจำเป็นต้องล็อกดาวน์หลายพื้นที่อย่างเข้มงวด รวมทั้งเมืองหลวงฮานอย โดยเน้นเพิ่มการตรวจหาเชื้อโควิด-19 และขยายระยะเวลาการบังคับใช้มาตรการควบคุมโรคอย่างเข้มงวดออกไปอีกสองสัปดาห์
ทางการได้ขอให้ประชาชนอยู่ภายในบ้าน และระงับกิจกรรมที่ไม่จำเป็น นอกจากนี้ ยังแบ่งพื้นที่ออกเป็นเขตสีคือสีแดง สีส้ม และสีเขียว ตามความรุนแรงของสถานการณ์การแพร่ระบาด โดยผู้ที่ถูกกักตัวดูอาการในเขตพื้นที่สีแดงจะต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ส่วนผู้อยู่ในเขตพื้นที่สีอื่น ๆ จะต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อทุก ๆ 5-7 วัน
ทั้งนี้ กรุงฮานอยรายงานพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 เฉลี่ยวันละ 50 คน และมียอดผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่กว่า 4,100 คน เจ้าหน้าที่พยายามควบคุมการระบาดอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้สถานการณ์รุนแรงเหมือนในนครโฮจิมินห์ที่เป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาด