สิงคโปร์ กลับมาทำสถิติ ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายวัน ทะยานขึ้นอีกครั้งวานนี้ (20 ต.ค.) โดยในรอบ 24 ชั่วโมงเพิ่มขึ้น 3,994 ราย สูงเป็นสถิติใหม่ แม้ว่าประชากร 84% ของประเทศจะได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว
ขณะที่หลายประเทศกำลังคลายมาตรการล็อกดาวน์และเริ่มเตรียมการเปิดประเทศ แต่สถานการณ์การแพร่ระบาดล่าสุดของไวรัสโควิด-19 ในบางประเทศก็ยังคงน่าเป็นห่วง เช่น “สิงคโปร์” ประสบความสำเร็จในการฉีดวัคซีนได้ครอบคลุมถึง 84% แต่การติดเชื้อโควิด-19 กลับพุ่งทะยานทำสถิติสูงสุดอีกครั้ง
กระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์รายงานสถิติผู้ป่วยโรคโควิด-19 สะสมในประเทศล่าสุด (20 ต.ค.) อย่างน้อย 154,725 ราย เสียชีวิตสะสมอย่างน้อย 246 ราย และยังคงเหลือผู้ติดเชื้อที่ต้องรักษาตัวอยู่ในระบบอีกอย่างน้อย 26,908 ราย
ส่วนยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่ได้รับการยืนยันในรอบ 24 ชั่วโมง (ของวันที่ 20 ต.ค.) เพิ่มขึ้น 3,994 ราย ถือเป็นสถิติรายวันสูงสุดครั้งใหม่ นับตั้งแต่ที่สิงคโปร์ต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 เมื่อต้นปีที่แล้ว (2563) โดยผู้ติดเชื้อใหม่ดังกล่าว แบ่งเป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ 13 ราย และติดเชื้อภายในประเทศ 3,981 ราย ทั้งนี้ มีผู้เสียชีวิตจากโควิดเพิ่มอีก 7 ราย และนับเป็นวันที่ 30 ติดต่อกันแล้ว ที่สิงคโปร์มีผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19
ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขของสิงคโปร์ ยืนยันการจับตาอย่างใกล้ชิดว่า การกลับมาพุ่งขึ้นของจำนวนผู้ป่วยจะเป็นเพียงชั่วคราว หรือเป็นสัญญาณเตือนของการแพร่ระบาดระลอกใหม่ เนื่องจากเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลสังเกตว่า ประชาชนออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านมากขึ้น รวมทั้งมีการจับจ่ายซื้อของตามศูนย์การค้า และใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น
ปัจจุบัน 84% ของประชากรในสิงคโปร์ได้รับวัคซีนป้องกันโรค โควิด-19 ครบแล้ว และ 85% ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็ม
นายลอเรนซ์ หว่อง รัฐมนตรีคลังซึ่งเป็นประธานร่วมของคณะทำงานบริหารจัดการสถานการณ์โควิดของสิงคโปร์ เปิดเผยว่า ท่ามกลางการแพร่ระบาดที่เป็นอยู่ รัฐบาลสิงคโปร์ตัดสินใจขยายระยะเวลาการควบคุมจำนวนคนในการทำกิจกรรมกลุ่มของประชาชนที่เริ่มใช้มาตั้งแต่ปลายเดือนก.ย. ออกไปอีก 4 สัปดาห์ นั่นหมายถึงการอนุญาตให้ชาวสิงคโปร์ทำกิจกรรมรวมกลุ่มได้มากสุดเพียง 2 คน เช่นเข้าร้านอาหารนั่งร่วมโต๊ะกัน 2 คนเท่านั้น ซึ่งมาตรการดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้ประชาชนที่ฉีดวัคซีนแล้ว โดยพวกเขาเห็นว่า รัฐบาลควรจะเร่งกระบวนการให้ผู้คนได้กลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้เร็วขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมองว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันที่ทะยานสูงขึ้นทำให้ระบบสาธารณสุขของสิงคโปร์ต้องเผชิญภาวะผู้ป่วยตึงมือ ทั้งห้องผู้ป่วยเดี่ยวและเตียงผู้ป่วยวิกฤตเริ่มมีผู้ป่วยล้น “ถ้าสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เราอาจต้องเสี่ยงอย่างมากกับการเผชิญภาวะสาธารณสุขล่มสลาย”
ทั้งนี้ หว่องเปิดเผยว่า สิงคโปร์มีอัตราครองเตียงของผู้ป่วยที่ต้องกักตัวในโรงพยาบาลที่ระดับ 90% แล้ว และมากกว่า 2 ใน 3 ของเตียงผู้ป่วยวิกฤต หรือผู้ป่วย ICU ทั่วประเทศก็เต็มแล้ว
ด้านนายอ่อง เย คุง รัฐมนตรีสาธารณสุขของสิงคโปร์ กล่าวว่า หากจำเป็นก็สามารถเพิ่มเตียงผู้ป่วย ICU ได้อีกเป็น 300 เตียง แต่นั่นก็จะกระทบกับเตียง ICU ของผู้ป่วยโรคอื่น ๆ
สมาคมผู้ประกอบการร้านอาหารของสิงคโปร์ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลผ่อนคลายกฎเกณฑ์ที่ใช้ควบคุมในเวลานี้ โดยพวกเขาขอให้ปรับเงื่อนไขจำนวนคนที่มาจากครอบครัวเดียวกัน ให้สามารถนั่งร่วมโต๊ะในร้านอาหารได้ถึง 5 คน จากปัจจุบันที่อนุญาตให้นั่งร่วมโต๊ะได้เพียง 2 คน แต่เกี่ยวกับข้อเรียกร้องดังกล่าว รมว.สาธารณสุขสิงคโปร์กล่าวว่า กระทรวงขอรับไว้พิจารณา แต่คงยังไม่ใช่ตอนนี้เพราะจะเสี่ยงเกินไป
รัฐบาลสิงคโปร์บังคับใช้มาตรการควบคุมสถานการณ์โควิดที่เรียกว่า มาตรการ“Stabilisation Phase” ซึ่งเป็นการนำสังคมคืนสู่การใช้ชีวิตอย่างปกติแบบค่อยเป็นค่อยไปมาตั้งแต่วันที่ 27 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยมุ่งหวังให้ประชาชนค่อย ๆ ปรับรูปแบบการใช้ชีวิต เป็นรูปแบบใหม่ที่อยู่ร่วมกับโควิดได้อย่างปลอดภัยและมีคุณภาพ มาตรการดังกล่าวเดิมมีกำหนดสิ้นสุดลงในวันจันทร์หน้า (25 ต.ค.) แต่รัฐบาลตัดสินใจขยายเวลาบังคับใช้มาตรการเพิ่มไปอีก 4 สัปดาห์จนถึงวันที่ 21 พ.ย.2564
ข้อมูลอ้างอิง