สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ฝ่ายนิติบัญญัติของ รัฐฮาวาย กำลังพิจารณาร่างกฎหมายที่กำหนดให้ นักท่องเที่ยว จ่ายค่า ใบอนุญาตท่องเที่ยวรายปี หรือ ค่าบัตรผ่าน เพื่อการเยี่ยมชมอุทยานและเส้นทางเดินป่าต่างๆของรัฐ โดยเงินที่ได้จากนักท่องเที่ยวนี้จะถูกนำไปใช้เพื่อ การปกป้องธรรมชาติ ผืนป่า แนวปะการัง และสัตว์ป่าที่หลาย ๆ คนตั้งใจไปเที่ยวชม
นายจอช กรีน ผู้ว่าการรัฐฮาวายซึ่งสังกัดพรรคเดโมแครต เปิดเผยว่า ฮาวายมีนักท่องเที่ยวเข้ามาที่เกาะราวปีละ 9-10 ล้านคน ในขณะที่มีประชากรอาศัยอยู่ที่นี่เพียง 1.4 ล้านคนเท่านั้น และว่า “นักท่องเที่ยว 10 ล้านคนที่ว่านั้นควรช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมของฮาวายด้วย”
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายนิติบัญญัติของฮาวายยังคงถกเถียงกันอยู่ว่าควรจะเรียกเก็บเงินจากนักท่องเที่ยวเท่าไรดี
เมื่อปีที่ผ่านมา (2565) ผู้ว่าการรัฐรณรงค์แนวคิดที่จะให้นักท่องเที่ยวทุกคนจ่ายค่าธรรมเนียม 50 ดอลลาร์เพื่อเดินทางเข้ารัฐฮาวาย แต่สมาชิกสภานิติบัญญัติคิดว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญของสหรัฐที่ให้ความคุ้มการท่องเที่ยวอย่างเสรี (free travel) และเสนอแนวคิดว่านักท่องเที่ยวควรจ่ายเงินเพื่อการเข้าอุทยานหรือการใช้เส้นทางเดินป่าแทน
ไม่ว่าฮาวายจะเลือกใช้แนวทางไหนในการเก็บค่าธรรมเนียมจากนักท่องเที่ยว หากสุดท้ายแล้วเกิดขึ้นจริง นั่นก็จะเป็นครั้งแรกที่มีการใช้นโยบายแบบนี้ในสหรัฐอมริกา
ผู้นำของฮาวายกำลังทำตามแบบอย่างของสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอื่น ๆ ในโลกที่มีการเก็บค่าธรรมเนียมหรือภาษีจากนักท่องเที่ยวเหมือน ๆ กัน ซึ่งได้แก่ เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี และหมู่เกาะกาลาปาโกสของประเทศเอกวาดอร์ เป็นต้น หรือที่หมู่เกาะปาเลา (Palau)ในแปซิฟิก ก็มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 100 ดอลลาร์สหรัฐจากนักท่องเที่ยวต่างชาติเพื่อนำเงินไปใช้ในการอนุรักษ์อุทยานทางทะเลและส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
นายฌอน ควินแลน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของฮาวายจากพรรคเดโมแครต ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะกรรมการการท่องเที่ยว กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงในกิจกรรมต่าง ๆ ของนักท่องเที่ยวเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันให้เกิดความเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ เขากล่าวว่าการออกรอบตีกอล์ฟของนักท่องเที่ยวต่อคนต่อวันลดลงถึง 30% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ขณะที่การเดินป่าเพิ่มขึ้น 50%
นอกจากนี้ ผู้คนยังแสวงหาสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ค่อยมีคนไปเยือนแต่เคยเห็นกันบนโซเชียลมีเดียต่างๆ ซึ่งทางรัฐไม่มีงบประมาณเพียงพอที่จะดูแลและปกป้องสถานที่เหล่านี้ทั้งหมดได้
ปัจจุบัน อุทยานของรัฐฮาวายและเส้นทางเดินป่าส่วนใหญ่เปิดให้เข้าฟรี แต่สถานที่ยอดนิยมบางแห่งมีการเก็บค่าธรรมเนียมเข้าชมแล้ว เช่นที่ อนุสาวรีย์ Diamond Head State ซึ่งเป็นเส้นทางที่นำนักเดินเขาขึ้นไปบนยอดภูเขาไฟที่มีอายุ 300,000 ปี ที่แห่งนี้มีนักท่องเที่ยวมาเยือนปีละ 1 ล้านคน และมีการเก็บค่าธรรมเนียมคนละ 5 ดอลลาร์ หรือ 170 กว่าบาท
ร่างกฎหมายปัจจุบัน (ที่กำลังถกกันอยู่ในสภา) กำหนดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ (nonresidents) ที่มีอายุเกิน 15 ปีซื้อบัตรผ่าน (หรือบัตรเข้าชม) รายปี เพื่อเยี่ยมชมป่า อุทยาน เส้นทางเดินเขา หรือพื้นที่ธรรมชาติอื่น ๆ บนผืนแผ่นดินของรัฐฮาวาย แต่ผู้ที่อาศัยอยู่ในฮาวาย มีใบขับขี่ของฮาวายหรือรัฐอื่นๆ ไม่ต้องซื้อบัตรผ่านนี้ โดยช่องทางการซื้อบัตรผ่านนี้ สามารถซื้อทางออนไลน์หรือแอปบนโทรมือถือ
ขั้นตอนขณะนี้ถึงจุดที่สมาชิกวุฒิสภาได้รับรองการเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าวที่อัตรา 50 ดอลลาร์แล้ว แต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการด้านการเงินของสภาผู้แทนฯหรือสภาล่าง ได้ปรับแก้ไขร่างกฎหมายโดยยกออกส่วนที่ระบุอัตราค่าธรรมเนียม ดังนั้น จึงยังคงต้องมีการพิจารณาถกเถียงเรื่องนี้กันอีก
รายงานปี 2019 โดยกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมนานาชาติ ประมาณการว่า การใช้จ่ายทั้งหมดตั้งแต่ระดับรัฐบาลกลาง ระดับรัฐ เคาน์ตี้ และเอกชน เพื่อการอนุรักษ์ในฮาวาย อยู่ที่ 535 ล้านดอลลาร์ แต่งบประมาณที่ต้องใช้จริงอยู่ที่ 886 ล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม กฎหมายได้ระบุไว้ว่าเงินที่ได้มาจากการเก็บค่าธรรมเนียมจะเข้าสู่กองทุนพิเศษที่บริหารจัดการโดยกระทรวงที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติของรัฐ
นายมูฟี ฮานเนแมน ประธานสมาคมที่พักและการท่องเที่ยวฮาวาย (Hawaii Lodging and Tourism Association) ซึ่งเป็นตัวแทนของโรงแรมต่าง ๆ สนับสนุนให้มีการเรียกเก็บเงิน แต่กล่าวว่าฮาวายต้องแน่ใจว่าจะนำเงินนี้ไปใช้อย่างถูกต้อง และก่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง
ข้อมูลอ้างอิง