ไทย-อาเซียน แท็กทีมดึงดูดการลงทุนสู่ "เศรษฐกิจสีเขียว" ในภูมิภาค

21 ก.ย. 2566 | 08:53 น.
อัปเดตล่าสุด :21 ก.ย. 2566 | 09:17 น.

ไทยจับมือชาติสมาชิกอาเซียน เสริมสร้างศักยภาพและโอกาสในการดึงดูดการลงทุนจากนอกภูมิภาคสู่เศรษฐกิจสีเขียวในอาเซียน มุ่งสู่การเป็นภูมิภาคของการผลิตที่ยั่งยืน และส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมผ่าน “ASEAN Green Agenda”

 

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเปิด กิจกรรมของอาเซียน ด้าน การพัฒนาที่ยั่งยืน ในช่วง การประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ ครั้งที่ 78 (UNGA78) เมื่อวันที่ 20 ก.ย. ตามเวลาท้องถิ่นนครนิวยอร์ก ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยระบุว่า รู้สึกยินดีที่ได้มากล่าวเปิดกิจกรรมของอาเซียนด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งไทยในฐานะประเทศผู้ประสานงานอาเซียนด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นเจ้าภาพร่วมกับ UNESCAP สำนักเลขาธิการอาเซียน และศูนย์อาเซียนด้านการศึกษาและการหารือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (ASEAN Centre for Sustainable Development Studies and Dialogue : ACSDSD) ได้จัดขึ้น เพื่อเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของทุกฝ่ายในการผลักดันการพัฒนาที่ยั่งยืนในอาเซียน

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี

นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่า การพัฒนาที่ยั่งยืนไม่ได้เป็นเพียงแค่เป้าหมายสำคัญของรัฐบาลไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นประเด็นที่สำคัญในระดับภูมิภาคที่จะช่วยส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อมและขับเคลื่อนสังคมโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยประเทศไทยยืนยันที่จะรักษาบทบาทสำคัญในฐานะประเทศผู้ประสานงานอาเซียนด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่ออนาคตของภูมิภาคที่ยั่งยืนและสามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ไทยมุ่งหวังที่จะยกระดับความร่วมมือของทุกประเทศ เพื่อจัดการปัญหาและความท้าทายต่าง ๆ ที่ได้เผชิญร่วมกันในช่วงครึ่งทางของการมุ่งไปสู่การบรรลุวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 ของสหประชาชาติ โดยที่ผ่านมา อาเซียนเผชิญกับอุปสรรคทั้งเรื่องงบประมาณ ช่องว่างของเทคโนโลยี ความแตกต่างทางสังคม ซึ่งล้วนเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันทั้งในระดับภูมิภาคและกับประชาคมโลก เพื่อเปลี่ยนผ่านความท้าทายไปสู่โอกาสของภูมิภาคต่อไป

ไทยพร้อมร่วมมืออาเซียน ดึงดูดการลงทุนสู่เศรษฐกิจสีเขียวในภูมิภาค

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรียังได้นำเสนอ แนวทางด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับบริบทของวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ค.ศ. 2045 ดังนี้

  • ประการแรก ทุกฝ่ายควรมุ่งมั่นเสริมสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่กับการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกันกับความพยายามร่วมกันของประชาคมโลก เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก โดยอาเซียนต้องมี Roadmap เพื่อดำเนินการขับเคลื่อนแบบองค์รวมและไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งไทยยินดีร่วมมือกับอาเซียนขับเคลื่อนการจัดทำ ASEAN Green Agenda ให้เป็นแนวทางสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของภูมิภาคอย่างยั่งยืน
  • ประการที่สอง อาเซียนควรสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งเพื่ออุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไทยกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งพลังงานหมุนเวียนภายในประเทศ ตลอดจนดึงดูดการลงทุนจากอุตสาหกรรมสีเขียวเข้ามาในภูมิภาค โดยพร้อมทำงานร่วมกับเพื่อนสมาชิกในอาเซียนและพันธมิตรภายนอก เพื่อโครงการที่ส่งเสริมการเกษตรอัจฉริยะ เร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานสะอาด มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน รวมไปถึงการส่งเสริมแนวคิดการเงินสีเขียว (Green Finance) เพื่อเพิ่มศักยภาพในการปรับตัวของอาเซียน และยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนในภูมิภาค
  • ประการที่สาม อาเซียนในฐานะภูมิภาคที่มีพลวัตของการเจริญเติบโตสูง จึงมีศักยภาพที่จะสามารถเป็นแหล่งด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่สำคัญต่อโลกผ่านการดึงดูดการลงทุนในเศรษฐกิจสีเขียว โดยตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ การเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของอาเซียน ซึ่งคาดว่าจะเติบโตมากกว่า 32% ภายในอีก 5 ปีข้างหน้า ดังนั้น อาเซียนซึ่งอุดมไปด้วยทรัพยากรและศักยภาพจึงสามารถเป็นศูนย์กลางของการผลิตที่ยั่งยืน และสามารถเป็นแหล่งเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน (Sustainable Supply Chain) ของโลกได้

นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วมการประชุม ไทย-อาเซียน แท็กทีมดึงดูดการลงทุนสู่ \"เศรษฐกิจสีเขียว\" ในภูมิภาค

ในท้ายที่สุด นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่า ความสำเร็จของการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้นั้น ต้องอาศัยความร่วมมือทั้งระดับรัฐบาล ภาคประชาสังคม นักวิชาการ และภาคธุรกิจ พร้อมเชิญชวนให้ทุกฝ่ายร่วมมือกับไทยและอาเซียน เพื่อมุ่งเป้าไปสู่การเปลี่ยนวิสัยทัศน์ของการพัฒนาที่ยั่งยืนไปสู่แนวทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นมรดกสำคัญที่ทุกคนจะสามารถทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลังได้มีอนาคตที่ดีมากยิ่งขึ้น