อเมริกาฮือฮา ปรากฏการณ์ “สุริยุปราคาวงแหวนแห่งไฟ"

ชาวอเมริกันหลายสิบล้านคนในภาคตะวันตก ภาคใต้และกลางประเทศ สามารถมองเห็น ปรากฏการณ์สุริยุปราคาแบบวงแหวน (annular solar eclipse) หรือที่เรียกในอีกชื่อว่า สุริยุปราคาวงแหวนแห่งไฟ หรือ ring of fire เกิดขึ้นเมื่อวันเสาร์ (14 ต.ค. ตามเวลาท้องถิ่น) โดยเป็นการเกิดสุริยคราสที่เห็นเป็น “วงแหวน” รอบดวงจันทร์ เนื่องจากดวงจันทร์โคจรมาอยู่ระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ แต่จะไม่บดบังดวงอาทิตย์ทั้งหมด ทำให้สามารถมองเห็นขอบด้านนอกของดวงอาทิตย์ปรากฎเป็นแสงออกมาคล้ายวงแหวน เป็นเวลาราว 5 นาที

ดร.นิโคลัส ฟ็อกซ์ แห่งองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (นาซา)อธิบายว่า การเกิดสุริยุปราคาวงแหวนแห่งไฟ เกิดขึ้นเมื่อดวงจันทร์อยู่ในจุดที่ห่างจากโลกมากที่สุดในขณะที่เกิดสุริยคราส ซึ่งจะทำให้ขนาดที่ปรากฏของดวงจันทร์เล็กกว่าดวงอาทิตย์ จึงไม่อาจบดบังดวงอาทิตย์ได้ทั้งหมด เหลือพื้นผิวบริเวณขอบๆ ของดวงอาทิตย์ที่ปรากฏให้เห็นเป็นวงแหวนที่เปล่งแสงออกมา

“แม้ว่าเราจะตื่นเต้นมากกว่าในกรณีที่เกิดสุริยุปราคาแบบเต็มดวง แต่ปรากฏการณ์สุริยุปราคาแบบวงแหวนก็เกิดขึ้นได้ยากกว่า เพราะฉะนั้นนับว่าเป็นบุญตาถ้าคุณได้เห็น”

ทั้งนี้ ประชาชนในรัฐโอเรกอน เนวาดา ยูทาห์ เท็กซัส แคลิฟอร์เนีย ไอดาโฮ แอริโซนา และโคโลราโด ของสหรัฐ รวมทั้งหลายประเทศในอเมริกากลาง ไปจนถึงบราซิล สามารถมองเห็นปรากฏการณ์หายากนี้ได้ในวันเสาร์ที่ 14 ตุลาคม โดยขณะบางพื้นที่สามารถเห็นสุริยคราสแบบวงแหวน บางพื้นที่อาจเห็นเป็นแบบสุริยคราสบางส่วน (เห็นดวงอาทิตย์เป็นแหว่งๆ แต่ไม่เป็นวงแหวน)

เฉพาะในสหรัฐอเมริกาคาดว่าจะมีประชาชนมากกว่า 6.5 ล้านคนอยู่ในเส้นทางที่จะเกิดปรากฏการณ์นี้ และหากรวมกับในประเทศอื่น ๆ จะมีผู้ที่อยู่ใต้แนวเส้นทางเกิดสุริยปราคาวงแหวนแห่งไฟ ราว 68 ล้านคน เป็นระยะทางราว 322 กิโลเมตร (จากข้อมูลของนาซา)

อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจนี้ ไม่แนะนำให้มองด้วยตาเปล่าเพราะจะเป็นอันตรายต่อดวงตา โดยนาซาแนะนำว่าควรมองผ่านแว่นที่ใช้สำหรับดูสุริยุปราคาเท่านั้น และเมื่อสวมแว่นนี้แล้วก็ไม่ควรมองผ่านเลนส์กล้องถ่ายภาพ กล้องส่องทางไกล หรือกล้องดูดาว เพราะแสงเข้มข้นที่ถูกรวมผ่านเลนส์จะทำให้เกิดอันตรายต่อดวงตาได้  

นักดาราศาสตร์กล่าวว่า สุริยุปราคาวงแหวนแห่งไฟครั้งนี้ เกิดขึ้นก่อนที่จะเกิดสุริยุปราคาแบบเต็มดวงในอีก 6 เดือนข้างหน้า คือในวันที่ 8 เมษายน 2024 ซึ่งจะสามารถมองเห็นได้ทางฝั่งตะวันออกของสหรัฐและแคนาดา