นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ "ทิศทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เพื่อมุ่งสู่การเติบโตในบริบทความท้าทายปัจจุบัน" (Thai Economic Outlook: Navigating Growth and Challenges") ใน งานสัมมนา Go Thailand 2024 : Green Economy – Landbridge จัดโดยหนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2566 ระบุว่า ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ได้มีโอกาสพูดคุยในหลายเวที โดยล่าสุด เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ได้ไปร่วมเป็นประธานในพิธีเปิดงาน Thailand Mega Fair 2023 ที่กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย ซึ่งประเด็นสำคัญที่ไฮไลต์ในงาน อันเป็นสิ่งที่ได้ย้ำในทุกโอกาส ก็คือ ไทยต้องขับเคลื่อนประเทศไปสู่ การเติบโตบนเส้นทางใหม่ หรือ "New Growth Path" ในสามมิติ คือ
หนึ่ง Green growth สอง Innovation-driven growth และสาม Community-based growth ซึ่งเชื่อมั่นว่าเราทำได้ และจะนำพาประเทศไทยเข้าสู่ตลาดและโอกาสใหม่ ๆ มากมาย
อย่างไรก็ตาม เมื่ออภิปรายเรื่องเศรษฐกิจจากมุมมองด้านการต่างประเทศ รองนายกฯและรมว.กระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่า มี ข้อท้าทาย 3 ประการที่สำคัญ และเป็นปัจจัยที่ต้องคำนึงถึง
ข้อท้าทายประการแรก คือ การเมืองโลก ซึ่งในวันนี้กำลังอยู่ในสภาวะที่การแบ่งขั้วทวีความชัดเจน และยังมีความน่าวิตกกังวล โดยเฉพาะการแข่งขันระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา สถานการณ์ยูเครน และล่าสุด สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ที่จะยิ่งทำให้การแบ่งขั้วของโลกรุนแรงยิ่งขึ้น
หลายประเทศพยายามมีบทบาทซึ่งอาจส่งผลกระทบทั้งในด้านบวกและลบ โดยในบางครั้งมุ่งเน้น "เอาชนะ" หรือใช้การเมืองระหว่างประเทศเป็นเครื่องมือตอบโจทย์การเมืองภายในประเทศ เราจึงเห็นนโยบายแบบ “พร้อมชน” และการกีดกันในรูปแบบต่าง ๆ มากขึ้นเป็นลำดับและทำให้เกิดการแข่งขันกันทั้งด้าน geo-politics ด้าน geo-economy และด้าน geo-technology ที่ไม่ได้จำกัดเฉพาะระหว่างขั้วมหาอำนาจ
อย่างไรก็ดี การแข่งขันที่เข้มข้นนี้ ก็อาจนำมาซึ่งโอกาสความร่วมมือด้วยก็ได้ ซึ่งสภาพการณ์ดังกล่าว เป็นข้อท้าทายสำหรับประเทศไทยในการดำเนินความสัมพันธ์และการกำหนดทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะในปัจจุบันที่เครื่องจักรหลักทางเศรษฐกิจของไทย ยังคงต้องพึ่งพาเม็ดเงินและเทคโนโลยีจากต่างประเทศเป็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) การส่งออก และการท่องเที่ยว และทำให้เกิดโจทย์สำคัญคือ "การอยู่ให้เป็น อย่างมีจุดยืนและเป้าหมาย" เพื่อให้สามารถบริหารความเสี่ยง ใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้น และมีความพร้อมสำหรับการแข่งขันที่เข้มข้น
ข้อท้าทายประการที่สอง คือ ความห่วงกังวลต่อปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก (climate change) และความยั่งยืน ซึ่งจากการเดินทางไปต่างประเทศมาหลายทริป พบว่า เรื่องพลังงานสะอาด (Clean Energy) และเรื่องการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ (Net Zero) เป็นเรื่องสำคัญที่สุด และไม่มีประเทศไหนในโลกมีความขัดแย้งหรือเห็นต่างในเรื่องนี้ เพราะฉะนั้น จึงเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายให้ความสนใจและพร้อมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการผลักดัน แม้ว่าการเดินหน้าหาฉันทามติในบางประเด็นจะยังติดขัดและต้องคุยกันต่อ เช่น การลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ดังที่เห็นล่าสุดในการประชุม COP28 (ที่นครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) แต่ก็พอจะกล่าวได้ว่า ข้อห่วงกังวลดังกล่าวได้ทำให้เกิด “สภาพกึ่งบังคับ” ให้ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขด้านนี้ เพื่อให้ประเทศอื่นๆ ยอมรับ และคบค้าสมาคมด้วย โดยเฉพาะกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญของประเทศไทย ทั้งในมิติการลงทุน การส่งออก และการท่องเที่ยว
ประเทศไทยจึงต้องแสดงท่าที แสดงความมุ่งมั่นที่จะมีส่วนร่วม และมีการดำเนินการที่ชัดเจนในเรื่อง climate change อย่างหลีกเสี่ยงไม่ได้
“เราต้องเป็นประเทศที่สนับสนุนอุตสาหกรรมที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน และเน้นเรื่องพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นเรื่องที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสำคัญเป็นลำดับต้น เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่านนายกรัฐมนตรีก็ได้พูดคุยเรื่องนี้กับฝ่ายญี่ปุ่นซึ่งเป็นนักลงทุนรายใหญ่สุดของไทยเกี่ยวกับเรื่องอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์และการเปลี่ยนผ่านไปสู่ EV” นายปานปรีย์กล่าว และว่า โดยรวมแล้ว รัฐบาลให้ความสำคัญกับ green transition ที่อาจต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนผ่าน แต่ก็มีผู้ประกอบการไทยหลายราย ที่ได้เริ่มเดินหน้าไปแล้ว โดยการใช้แนวทาง ESG (Environmental Social Governance) ในการทำธุรกิจ
ส่วน ข้อท้าทายสุดท้าย คือ technology disruption ซึ่งสิ่งที่เป็นประเด็นสำคัญก็คือ การแข่งขันที่เข้มข้นระหว่างขั้วอำนาจต่างๆ ในโลก ทำให้เกิดการแข่งชันทางเทคโนโลยี เพราะการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงนำมาซึ่งการเพิ่มพูนอำนาจระดับชาติ (national power) อันเป็นการเสริมสร้างศักยภาพของประเทศในทางยุทธศาสตร์ ดังนั้น การกำหนด positioning ในสาขาเทคโนโลยีต่าง ๆ ทั้งของประเทศและของธุรกิจ จึงมีความสำคัญ
ไทยจึงจะต้องมีความชัดเจนว่า เทคโนโลยีด้านใดที่เราจะต่อยอดการวิจัยและพัฒนา และเทคโนโลยีด้านใดที่เราควรจะเป็นเพียงผู้นำมาประยุกต์ต่อยอดให้เกิดผลิตภัณฑ์เพื่อเป็นผู้นำของตลาด เช่น เรื่อง semiconductor ที่เราอาจเน้นการพัฒนา packaging หรือนำเอา semiconductor ไปพัฒนาผลิตภัณฑ์อื่น ก็อาจจะมีโอกาสสำเร็จสูงกว่าการไปแข่งพัฒนา semiconductor เอง เป็นต้น
หรือเรื่องของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่คงต้องยอมรับว่ามันจะเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงาน และวิถีการใช้ชีวิตของผู้คนอย่างแน่นอน โดยมีการประมาณการว่า ในปี 2564 สัดส่วนข้อมูลในอินเตอร์เน็ตที่ถูกสร้างโดย AI (หรือ A-generated content) มีอยู่ไม่ถึง 1% แต่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 10% ภายในปี 2568 ดังนั้น นานาประเทศจึงได้เริ่มคุยกันอย่างจริงจังมากขึ้นว่าจะบริหารจัดการการใช้ AI อย่างไรให้มีธรรมาภิบาลมากขึ้น
“จากข้อท้าทายทั้งสาม ผมเห็นว่า รัฐบาลกำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยไปในทิศทางที่เหมาะสม คือ ทำทั้งภายในและภายนอกไปพร้อมกัน เราเปิดกว้างสู่เศรษฐกิจโลกโดยก้าวข้ามการแบ่งขั้วอย่างมีจุดยืนและเป้าหมาย และอาศัยพลังสร้างสรรค์ หรือ soft power เสริม ขณะเดียวกันก็สร้างเสริมความเข้มแข็งและศักยภาพการแข่งขันภายใน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนผ่านสีเขียว และการเปลี่ยนสู่ดิจิทัลในทุกภาคส่วน ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ ยกระดับและพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของคนไทย และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ เป็นต้น”
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศ ยังกล่าวขยายความเกี่ยวกับการ "ก้าวข้ามการแบ่งขั้ว" ด้วยว่า ไทยทำได้ เพราะมีจุดยืนและเป้าหมายที่อยู่บนพื้นฐานของหลักกฎหมายระหว่างประเทศและหลักการสากล และใช้จุดแข็งของเรา คือการไม่เป็นคู่ขัดแย้งหรือเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง มาสร้างโอกาสความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ตอบโจทย์ห่วงโซ่อุปทาน ตลอดจนดำเนินความสัมพันธ์กับประเทศต่าง ๆ อย่างมีดุลยภาพ
“ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ในการเยือนต่างประเทศทุกครั้ง นอกจากท่านนายกฯ จะได้เน้นย้ำจุดยืนช้างต้นของไทย และสะท้อนท่าที pro-business แล้ว ท่านยังได้ย้ำถึงเสถียรภาพการเมืองภายใน ศักยภาพทางเศรษฐกิจ และได้พบปะบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่ของประเทศนั้น ๆ เพื่อซักชวนให้เข้ามาลงทุนในหลากหลายสาขา โดยเฉพาะอุตสาหกรรมแห่งอนาคตและอุตสาหกรรมสีเขียว นอกจากนี้ ยังสร้างการรับรู้เกี่ยวกับ "โครงการแลนด์บริดจ์" ที่รัฐบาลตั้งใจให้เป็นอีกหนึ่ง growth engine ของไทย ซึ่งภาคเอกชนหลายประเทศให้การตอบรับที่ดี”
นอกจากนี้ รัฐบาลยังให้ความสำคัญอย่างมากกับการเร่งทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ให้มากขึ้น รวมทั้งทำงานอย่างใกล้ชิดกับหุ้นส่วนภายใต้กรอบไอเพฟ (IPEF หรือกรอบความร่วมมือเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก) เพื่อตอกย้ำว่า เศรษฐกิจไทยเปิดกว้างสู่เศรษฐกิจโลก ทั้งในด้านการค้าและการลงทุน
นายปานปรีย์กล่าวว่า ในส่วนของภาคราชการ ปลายเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศได้จัดการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลก โดยเชิญทูตพาณิชย์ ทูต BOI และผู้แทนภาคเอกชนมาร่วมพูดคุยระดมสมองผนึกกำลังของ "ทีมไทยแลนด์พลัส" ภาครัฐและเอกชน เพื่อให้มั่นใจว่าการทำงานด้านการทูตและการค้าตอบโจทย์ของประเทศและประชาชนด้วยดี เป็นการทูตที่ "กินได้" โดย "การทูตเศรษฐกิจเชิงรุก" จะยกระดับความสามารถในการแข่งขัน (competitiveness) เพิ่มบทบาทของไทยในเวทีโลก (visibility) ของประเทศ และสร้าง impact บนพื้นฐานของการหารือกับทุกภาคส่วน ตามแนวคิด customer-centric ไม่ว่าจะเป็นการเร่งเจรจา FTA การเพิ่มปฏิสัมพันธ์กับ OECD เพื่อส่งเสริมมาตรฐานและธรรมาภิบาลการประกอบธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบและการเปลี่ยนผ่านสีเขียว ซึ่งจะเป็นแรงผลักสำคัญไปสู่การยกระดับมาตรฐานในประเทศในด้านที่ประชาคมโลกให้ความสำคัญ ซึ่งจะเอื้อต่อการเปิดกว้างสู่เศรษฐกิจโลก
ทั้งนี้ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยจะไม่ขับเคลื่อนโดยลำพัง เพราะการทูตเศรษฐกิจเชิงรุกให้ความสำคัญกับการผลักดันความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยล่าสุด เมื่อเร็วๆนี้ นายกรัฐมนตรีได้ลงพื้นที่พบหารือนายกรัฐมนตรีมาเลเชียที่ด่านสะเดาแห่งใหม่ที่ จ.สงขลา เพื่อผลักดันโครงการ connectivity และความร่วมมือการพัฒนาชายแดนระหว่างสองประเทศ ทั้งด้านการค้า ท่องเที่ยว เกษตร และความมั่นคง โดยมุ่งหวังยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน หรืออีกตัวอย่างเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นายกฯ ได้หารือกับประธานาธิบดีอินโดนีเชียในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่นสมัยพิเศษ ส่งผลให้เกิดการสั่งซื้อข้าวไทยกว่า 2 ล้านตันภายในปีหน้า เช่นเดียวกับที่รองนายกฯเอง ได้ลงพื้นที่ด่านบ้านคลองลึก พรมแดนไทย-กัมพูชา และเยือนเวียดนามเพื่อปูทางสำหรับการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ เป็นต้น
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทย คือการใช้ซอฟต์พาวเวอร์ (soft power) ซึ่งจะมีส่วนช่วยเสริมให้การเปิดกว้างสู่เศรษฐกิจโลกมีผลที่จับต้องได้ในระดับประชาชน โดยรัฐบาลกำลังร่วมกับภาคเอกชนขับเคลื่อนเรื่องนี้ ผ่าน "เครื่องมือ" จาก 11 สาขาเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นสาขาอาหาร ท่องเที่ยว ศิลปะ ดนตรี กีฬา และอีกมาก นายปานปรีย์กล่าวว่า การมี "เครื่องมือ" ที่ดีและมีคุณภาพ เป็นปัจจัยสำคัญ ดังนั้น การสร้างเสริมความแข็งแกร่งและขีดความสามารถให้แก่ภาคเอกชน ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องมือเหล่านี้ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
รองนายกฯ และรมว.ต่างประเทศกล่าวสรุปในตอนท้ายว่า ในปี 2567 ที่กำลังจะมาถึงนี้ โลกจะยังคงเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไทยจึงต้องเตรียมพร้อมไว้ทั้งเชิงรับและเชิงรุก การต่างประเทศเป็นเรื่องใกล้ตัวกว่าที่หลายคนคิด และทุกคนต้องช่วยกัน เพื่อเดินหน้าและรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ อย่างมีภูมิคุ้มกัน และกระจายความเสี่ยง หรือสร้างความหลากหลายในมิติต่าง ๆ การพัฒนามาตรฐานให้สามารถตอบโจทย์ตลาดที่หลากหลาย การสร้างแต้มต่อในการแข่งขันจากเทคในโลยี นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ เพื่อให้พร้อมรับมือกับความผันผวนและพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงส่งเสริมให้ผู้ประกอบการของไทยสามารถเข้าถึงตลาดขนาตใหญ่เพื่อเปิดกว้างไปสู่เศรษฐกิจโลกให้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“เราต้องปรับตัวไปกับพัฒนาการของโลก และตระหนักถึงข้อท้าทายจากความหลากหลายทั้งทางวัฒนธรรม การให้คุณค่า และพฤติกรรม ตลอดจนแนวโน้มและค่านิยมสากล ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศพร้อมรับฟังและทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจ และด้วยความร่วมมือจากทุกฝ่าย เชื่อว่าเราจะจับมือกันนำประเทศไทยกลับสู่จอเรดาร์การเมืองและเศรษฐกิจของประชาคมโลกได้อย่างเต็มภาคภูมิอีกครั้ง”