ฟอร์บส์เผยรายได้ “ปธน.ไบเดน” และ “สุภาพสตรีหมายเลข1” รวมกันกว่า 22 ล้านบาท

21 เม.ย. 2567 | 17:59 น.
อัปเดตล่าสุด :21 เม.ย. 2567 | 23:25 น.

ฟอร์บส์เผยรายได้รายปีของประธานาธิบดีโจ ไบเดน และภริยา รวมกับเกือบ 620,000 ดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา (2023) หรือคิดเป็นเงินไทยราว 22.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยส่วนใหญ่เป็นรายได้จากเงินเดือน

นิตยสารฟอร์บส์ เปิดเผยตัวเลขล่าสุดซึ่งเป็น รายได้ หลังหักภาษีในปีที่ผ่านมา (2023) ของ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐอเมริกา และของ นางจิล ไบเดน สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง รวมกัน 619,976 ดอลลาร์ หรือประมาณ 22.93 ล้านบาท  ตามข้อมูลการคืนภาษีที่ทำเนียบขาวเผยแพร่เมื่อวันที่ 15 เม.ย. นับเป็นรายได้ที่เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับรายได้ในปี 2022 ของบุคคลทั้งสอง ที่มีอยู่เกือบๆ 580,000 ดอลลาร์สหรัฐ

รายงานชิ้นนี้ ยังระบุตัวเลขที่น่าสนใจเกี่ยวกับรายได้และการเสียภาษีของผู้นำสหรัฐ ดังนี้

  • ประธานาธิบดีไบเดนและภริยา จ่ายภาษีให้รัฐบาลกลางรวม 146,629 ดอลลาร์ในปี 2023 พวกเขาเสียภาษีเงินได้ให้รัฐบาลกลาง (federal income tax) ในอัตรา 23.7%
  • รายได้ส่วนใหญ่ของผู้นำสหรัฐและสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง ส่วนใหญ่มาจากเงินเดือนของพวกเขา โดยประธานาธิบดีไบเดนมีเงินเดือน 400,000 ดอลลาร์/ปี (ประมาณ 14.8 ล้านบาท/ปี) ส่วนนางจิล ไบเดน ภริยา มีเงินเดือนเกือบ 86,000 ดอลลาร์/ปี (ประมาณ 3.18 ล้านบาท/ปี) จากการเป็นศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัย Northern Virginia Community College
  • นอกจากนี้ บุคคลทั้งสองยังแจ้งรายได้จากเงินบำนาญและเงินงวดรายปี (รวมกัน 34,940 ดอลลาร์สหรัฐ) รวมทั้งเงินสวัสดิการประกันสังคม (54,616 ดอลลาร์สหรัฐ)

ผู้นำสหรัฐและภริยาถ่ายภาพร่วมกันที่สนามหญ้าทำเนียบขาวเมื่อวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมา รายได้ส่วนใหญ่ของทั้งคู่มาจากเงินเดือน โดยจิลยังคงทำงานเป็นศาสตราจารย์มหาวิทยาลัย (ภาพ AFP)

  • ในส่วนของการบริจาค เมื่อปีที่แล้ว ประธานาธิบดีไบเดนและสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง บริจาคเงินรวม 20,477 ดอลลาร์ให้กับองค์กรการกุศลต่างๆ 17 แห่ง ซึ่งรวมถึง 1,000 ดอลลาร์ที่บริจาคให้กับองค์กรสนับสนุนสวัวดิกาของตำรวจ และ 5,000 ดอลลาร์ให้กับมูลนิธิโบ ไบเดน ซึ่งเป็นองค์กรที่ตั้งชื่อตามลูกชายผู้ล่วงลับของประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนต่อต้านการล่วงละเมิดสิทธิเด็ก

ด้านรองประธานาธิบดี นางคามาลา แฮร์ริส และสามี (ซึ่งเรียกตามชื่อตำแหน่งว่า “สุภาพบุรุษคนที่สอง” หรือ second gentleman) นายดั๊ก เอ็มฮอฟฟ์ มีรายได้รวมกัน 450,299 ดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา และพวกเขาจ่ายภาษีเงินได้ให้แก่รัฐบาลกลาง 88,570 ดอลลาร์

พื้นหลังที่น่าสนใจ

สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานว่า ผู้นำสหรัฐและภริยา ได้เปิดเผยข้อมูลประวัติการคืนภาษีของพวกเขาเป็นเวลา 26 ปี ซึ่งการกระทำดังกล่าวให้ภาพที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงระหว่างตัวเขาและนายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพับลิกัน โดยทรัมป์ปฏิเสธที่จะเปิดเผยข้อมูลประวัติการคืนภาษีระหว่าง 4 ปีที่เขาดำรงตำแหน่งผู้นำของประเทศ

ทั้งไบเดนและทรัมป์ ประกาศจะลงชิงชัยในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐปลายปีนี้

อย่างไรก็ตาม ในปี 2022 คณะกรรมาธิการพิจารณาวิธีการจัดหารายได้ของสภาผู้แทนราษฎร (House Ways and Means Committee) เคยเปิดเผยข้อมูลการคืนภาษีในระยะเวลา 6 ปีของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าทรัมป์จ่ายภาษี 1.1 ล้านดอลลาร์ระหว่างดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี และ 0 ดอลลาร์ในปี 2020 รายได้รวมหลังหักภาษีของทรัมป์ติดลบ 4.8 ล้านดอลลาร์ในปี 2020

ทั้งนี้ จุดยืนด้านนโยบายภาษีของรัฐบาลไบเดน เน้นย้ำเกี่ยวกับการเก็บภาษีชาวอเมริกันที่ร่ำรวยและบริษัทที่มีรายได้สูง แผนการเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีของประธานาธิบดีไบเดนซึ่งยังไม่ได้รับการรับรองและประกาศใช้โดยสภาคองเกรส มีเป้าหมายที่จะขึ้นอัตราภาษีนิติบุคคลเป็น 28% และกำหนดให้มหาเศรษฐีต้องจ่ายภาษีอย่างน้อย 25% ของรายได้ แต่แผนการของเขา จะไม่ขึ้นภาษีสำหรับผู้ที่มีรายได้น้อยกว่า 400,000 ดอลลาร์ต่อปี

เงินเดือนไบเดนยังน้อยกว่าสองผู้นำในเอเชีย 

เงินเดือนของประธานาธิบดีโจ ไบเดนที่ได้รับในอัตรา 400,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 14.8 ล้านบาทต่อปีนั้น (ณ อัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน 37 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ) ยังถือว่าน้อยกว่าอัตราเงินเดือนของผู้นำบางประเทศ โดยสถิติในปี 2022 ชี้ว่า ผู้นำรัฐบาลที่มีอัตราเงินเดือนสูงที่สุดในโลก คือ นายลี เซียน ลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ซึ่งรับเงินเดือนถึงปีละ 1.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 59.2 ล้านบาท/ปี รองลงมาเป็นอันดับสองคือเงินเดือนของนายจอห์น ลี ผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกง ที่รับเงินเดือนในอัตรา 696,000 ดอลลาร์สหรัฐ/ปี หรือประมาณ 25.75 ล้านบาท 

ส่วนอัตราเงินเดือนของนายกรัฐมนตรีไทยนั้น อยู่ที่ 75,590 บาท บวกเงินประจำตำแหน่ง 50,000 บาท รวมเป็นเงิน 125,590 บาทต่อเดือน

 

ข้อมูลอ้างอิง