ราคาน้ำมันปาล์มดิบ ในช่วงสัปดาห์ที่สองของเดือนพฤษภาคมนี้ ลดลงยกแผงใน สามประเทศผู้ผลิตรายสำคัญของโลก คือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย เป็นผลมาจากน้ำมันพืชทางเลือกที่เป็นคู่แข่ง เช่น น้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันเมล็ดทานตะวันที่มีราคาถูกกว่า ออกมาสู่ตลาดโลกเป็นจำนวนมาก รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ป่าของสหภาพยุโรป (อียู) ที่อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มในอนาคต
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันปาล์มดิบในอินโดนีเซียอยู่ที่1.46 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลกรัม ลดลง 1.35% เมื่อเทียบสัปดาห์ต่อสัปดาห์ (week-on-week หรือ WoW) ราคาในมาเลเซียอยู่ที่ 0.82 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลกรัม ลดลง 3.53% WoW ขณะที่ราคาน้ำมันปาล์มในประเทศไทยอยู่ที่ 0.87ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลกรัม ลดลง 2.25% WoW
ในช่วงต้นปี 2567 ราคาน้ำมันปาล์มดิบขยับสูงขึ้นซึ่งเป็นแนวโน้มที่ดีเมื่อเทียบกับปี 2566 ที่ราคาปรับตัวลดลงมาก โดยราคาน้ำมันปาล์มซื้อขายล่วงหน้าของมาเลเซียที่ใช้เป็นราคาอ้างอิง (benchmark prices) ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ปรับสูงขึ้น 5% นับตั้งแต่ต้นปี หลังจากที่ราคาลดลงโดยรวมถึง 11% ในปีก่อนหน้า (ข้อมูลจากสำนักข่าวรอยเตอร์)
อย่างไรก็ตาม น้ำมันปาล์มมีคู่แข่งสำคัญเป็นทางเลือกที่ราคาถูกกว่า คือน้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันเมล็ดทานตะวัน ที่เข้ามาช่วงชิงลูกค้า มีผลฉุดรั้งราคาน้ำมันปาล์มที่กำลังฟื้นตัว
นายวิพิน กุปตา (Vipin Gupta) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทผู้ค้าสินค้าโภคภัณฑ์ เกล็นเทค กรุ๊ป (Glentech Group)ในเมืองดูไบ ให้มุมมองว่า มีการผลิตน้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันเมล็ดทานตะวันออกมาสู่ตลาดมากขึ้น ขณะที่การผลิตน้ำมันปาล์มลดลงสวนทางกัน ทำให้ทิศทางราคาฉีกต่างกันไปด้วย เนื่องจากน้ำมันปาล์มนั้นมีราคาสูงกว่า ทำให้ลูกค้าบางส่วนผละจากน้ำมันปาล์มไปซื้อน้ำมันชนิดอื่นๆที่ถูกกว่า ซึ่งยิ่งทำให้แนวโน้มการฟื้นตัวของราคาน้ำมันปาล์มถูกจำกัดไปด้วย
สอดคล้องกับรายงานของ ฟิตช์เรตติ้ง (Fitch Ratings) ที่เผยแพร่ช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ระบุว่า
ราคาน้ำมันปาล์มแข็งแกร่งขึ้นในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ แต่ก็มีแนวโน้มแผ่วลงหลังจากนั้น โดยคาดหมายว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบของมาเลเซีย (crude palm oil หรือ CPO) ที่ใช้เป็นราคาอ้างอิง จะปรับลดลงนับตั้งแต่ไตรมาสสองเป็นไป ซึ่งเป็นผลมาจากปริมาณน้ำมันพืชตัวอื่นๆมีออกมาสู่ตลาดโลกเป็นจำนวนมากจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยและราคาปุ๋ยที่ปรับลดลงมา อันเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้มีผลผลิตออกมามาก และจะยังส่งผลกดดันราคาน้ำมันปาล์มต่อไปในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า
เป็นที่คาดหมายว่า ราคาอ้างอิงน้ำมันปาล์มสำหรับปี 2567 และ 2568 จะอยู่ที่ระดับ 700 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน
ส่วนราคา spot price น้ำมันปาล์มดิบมาเลเซียซึ่งเป็นราคาอ้างอิงในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้นจากระดับต่ำกว่า 800 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน ในเดือนธันวาคม 2566 สู่ระดับเหนือ 900 ดอลลาร์สหรัฐ/ตันในเดือนมีนาคม 2567 เป็นผลมาจากปริมาณน้ำมันปาล์มในสำรองที่มีอยู่ในระดับต่ำของประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกทั้งมาเลเซียและอินโดนีเซีย ประกอบกับตลาดมีความกังวลเกี่ยวกับผลผลิตน้ำมันพืชในตลาดโลก
แต่เมื่อมองราคาซื้อขายล่วงหน้าจะพบว่า ราคา CPO ของมาเลเซีย ณ ช่วงปลายเดือนเมษายน 2567 ปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 798.75 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน ซึ่งเป็นการลดลง 66.50 ดอลลาร์เมื่อเทียบกับสถิติของเดือนมีนาคม (ข้อมูลอ้างอิง CME Group)
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า อินเดีย ซึ่งเป็นผู้ซื้อนำมันพืชรายใหญ่ของโลก ได้ปรับลดการนำเข้าน้ำมันปาล์มและเพิ่มการซื้อน้ำมันอื่นๆ เช่น น้ำมันถั่วเหลือง ในหลายเดือนข้างหน้า โดยนายสัญชีพ แอสทานา (Sanjeev Asthana) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทปาทานจาลี ฟู้ดส์ จำกัด (Patanjali Foods Ltd) ผู้นำเข้าน้ำมันปาล์มรายใหญ่ของอินเดีย ให้ความเห็นว่า อินเดียนำเข้าน้ำมันปาล์มน้อยลงสู่ระดับต่ำที่สุดในรอบสามเดือนคือที่ 787,000 ตันเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ขณะที่นำเข้าน้ำมันถั่วเหลืองเพิ่มขึ้น 24 % เป็น 190,000 ตัน
ผู้ค้าอีกรายกล่าวว่า ปริมาณนำเข้าน้ำมันถั่วเหลืองของอินเดีย อาจเพิ่มขึ้นเป็น 300,000 ตันในเดือนมีนาคมและ 400,000 ตันในเดือนเมษายน ขณที่ปริมาณนำเข้าน้ำมันปาล์มหล่นมาอยู่ที่ราวๆ 700,000 ตันเท่านั้น
ทั้งนี้ อินเดียนำเข้าน้ำมันปาล์มส่วนใหญ่จากอินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ส่วนน้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันเมล็ดทานตะวันนั้น นำเข้าส่วนใหญ่จากอาร์เจนตินา บราซิล รัสเซีย และยูเครน
นอกจากจะต้องเผชิญกับการช่วงชิงลูกค้ากับน้ำมันพืชประเภทอื่นๆที่มีราคาถูกกว่า น้ำมันปาล์มยังถูกซ้ำเติมโดยราคาขนส่งทางเรือที่สูงขึ้น โดยเฉพาะเมื่อต้องส่งให้กับลูกค้าในยุโรป
อย่างไรก็ตาม บทวิเคราะห์ของฟิตช์เรตติ้งระบุว่า ราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) มีปัจจัยเสี่ยงที่อาจก่อประโยชน์ (upside risks) หรือเป็นผลบวกต่อราคา 2 ประการ คือ
ปริมาณน้ำมันปาล์มมีแนวโน้มที่จะลดลงในประเทศผู้ผลิต ซึ่งหมายความว่า พวกเขามีเหตุผลที่จะสามารถกำหนดราคาให้สูงขึ้นได้บ้าง
ข้อมูลอ้างอิง