"ไบเดน" หนุน "แฮร์ริส" "เอาชนะทรัมป์ ชิงเก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯ หลัง ประกาศถอนตัว

22 ก.ค. 2567 | 02:44 น.
อัพเดตล่าสุด :19 ก.ย. 2567 | 04:24 น.

"โจ ไบเดน" หนุน "แฮร์ริส" "เอาชนะทรัมป์ ชิงเก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯ หลัง ประกาศถอนตัวชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกสมัย   อดีตผู้นำ -สมาชิกพรรคแห่ชื่นชม

ภายหลังโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯประกาศสละสิทธิ์การเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครตในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอีกสมัย มีสมาชิกพรรคฯและอดีตผู้นำสหรัฐฯ หลายรายได้ออกมาแสดงความชื่นชมต่อการตัดสินใจในครั้งนี้ ขณะเดียวกัน ไบเดนเอง  ได้โพสต์ข้อความใน "X"  ขอบคุณทุกคนในพรรคและประชาชนที่มอบความไว้วางใจ พร้อมทั้งประกาศสนับสนุนให้แฮร์ริส เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีในเดือนพฤศจิกายน นี้  มีข้อความระบุว่า

“ การตัดสินใจเลือกแฮร์ริส เป็นคู่ชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีในการเลือกตั้งปี 2020 เป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดเท่าที่เขาเคยทำมา วันนี้เขาต้องการให้การสนับสนุนแฮร์ริส เป็นตัวแทนของพรรค ขณะนี้ถึงเวลาแล้วที่เดโมแครตจะต้องร่วมมือกันและเอาชนะทรัมป์”

ย้อนไปก่อนหน้านี้  สมาชิกพรรคฯได้ เรียกร้องมาโดยตลอด ให้ไบเดนถอนตัว ในที่สุดเขาก็ไม่เพิกเฉยต่อเสียงเรียกร้อง ส่งผลให้ ทุกคนในพรรครวมถึงประชาชนในสหรัฐฯ ต่างออกมาชื่นชม ไบเดน ว่ากล้าหาญและเป็นผู้รักชาติที่แท้จริง เพราะการตัดสินใจยอมถอยโดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน ไม่ใช่เรื่องง่าย 

นอกจากคนในพรรคแล้ว ผู้นำหลายประเทศต่างโพสต์ข้อความชื่นชมและเคารพการตัดสินใจของไบเดน ไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีเยอรมนี, นายกฯ โปแลนด์ รวมถึงนายกฯ อังกฤษ 

ทั้งนี้  บารัค โอบามา อดีตประธานาธิบดี  ระบุว่า การกระทำของไบเดนเป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาคือผู้นำที่รักประเทศ แต่ขณะเดียวกันโอบามาเตือนถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งพรรคเดโมแครตกำลังจะนำไปสู่เส้นทางที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่เขามีความเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าผู้นำพรรคของเราจะสามารถสร้างกระบวนการคัดสรรผู้แทนของพรรคที่มีความโดดเด่นได้

เช่นเดียวกับ ชัค ชูเมอร์ ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภา กล่าวว่า ไบเดนไม่เพียงแต่เป็นประธานาธิบดีที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น แต่ยังเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง การตัดสินใจของเขาไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เขายกให้ประเทศ พรรคและอนาคตของเราเป็นอันดับแรก วันนี้ไบเดนแสดงให้เราเห็นว่าเขาคือผู้รักชาติและชาวอเมริกันที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง

อีกทั้ง บิล คลินตัน อดีตประธานาธิบดี พร้อมด้วยฮิลลารี่ ภรรยา ออกแถลงการณ์ร่วมชื่นชมไบเดน พร้อมระบุว่า รู้สึกเป็นเกียรติที่จะร่วมกับไบเดนให้การสนับสนุนแฮร์ริสเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต และจะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อสนับสนุนเธอ เพราะไม่มีอะไรทำให้ทั้งคู่กังวลมากไปกว่าภัยคุกคามจากทรัมป์ หากว่าเขาได้เป็นผู้นำประเทศสมัยที่ 2

สำหรับ กมลา เดวี แฮร์ริส ( Kamala Devi Harris  ) ข้อมูลจากวิกิพีเดีย  เธอ เกิด วันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ. 1964 เป็นนักการเมืองและทนายความ ชาวอเมริกัน  เป็น รองประธานาธิปดีสหรัฐอเมริกาสตรีและผิวสีคนแรกของสหรัฐอเมริกา อดีตสมาชิก วุฒิสภาสหรัฐจาก รัฐแคลิฟอร์เนีย สังกัด พรรคเดโมแครต

กมลา แฮร์ริส เกิดที่เมืองโอ็คแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นบุตรของนายดอนัลด์ เจ. แฮร์ริส นักเศรษฐศาสตร์ประจำ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ชาวอเมริกันเชื้อสายจาเมกา กับนางศยามลา โฆปาลัญ นักชีวการแพทย์ชาวอเมริกันเชื้อสายอินเดีย

ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2016 เธอได้รับชัยชนะเหนือ ลอเร็ตตา แซนเชซ ในการเลือกตั้งวุฒิสภาของ ค.ศ. 2016 ส่งผลให้แฮร์ริสเป็นวุฒิสมาชิกสตรีคนที่สามจากรัฐแคลิฟอร์เนีย สตรีเชื้อสายแอฟริกาคนที่สอง และสตรีเชื้อสายเอเชียคนแรกที่ได้ดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐ

ในฐานะสมาชิกวุฒิสภา เธอสนับสนุนการปฏิรูประบบบริการสุขภาพ การยกเลิกสถานะยาเสพติดของกัญชาในระดับประเทศ การช่วยเหลือให้ผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารได้รับสถานะพลเมืองสหรัฐ รัฐบัญญัติดรีม การห้ามใช้อาวุธสังหาร และการปฏิวัติการเก็บภาษีอัตราก้าวหน้า เธอเป็นที่จดจำในระดับชาติภายหลังเธอได้ตั้งคำถามที่เฉียบแหลมต่อเจ้าหน้าที่ภายใต้การบริหารของทรัมป์ระหว่างการรับฟังโดยวุฒิสภา ซึ่งรวมถึง อัยการสูงสุดเจฟฟ์ เซชชันส์ และวิลเลียม บาร์ 

เธอได้สมัครเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ค.ศ. 2020 ก่อนยุติการชิงตำแหน่งเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม ค.ศ. 2019 และได้รับการสนับสนุนให้เป็นคู่ท้าชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต คู่กับอดีตรองประธานาธิบดี โจ ไบเดน เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ค.ศ. 2020 ส่งผลให้เธอเป็น ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกาและชาวอมริกันเชื้อสายเอเชียคนแรกที่ได้รับเลือกให้เป็นผู้หาเสียงเคียงคู่กับผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งคนสำคัญของพรรคฯ และเป็นสตรีคนที่สามที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งดังกล่าว ถัดจากเจรัลดีน เฟอร์ราโร (ในการเลือกตั้งเมื่อ ค.ศ.1984) และแซราห์ เพลิน (ในการเลือกตั้งเมื่อค.ศ. 2008)