การที่ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน วัย 81 ปี ประกาศถอนตัวออกจากการแข่งขันใน ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ที่กำลังจะมีขึ้นต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ เท่ากับเป็นการสับไพ่ใหม่ ทำให้ผู้สนับสนุนภายใน พรรคเดโมแครต ที่เรียกกันว่า "ผู้แทนการลงคะแนนเสียง" ที่เคยสนับสนุนเขา ต้องหาทางเลือกใหม่เพื่อไปเทคะแนนให้ และนั่นก็หมายความว่า บรรดาผู้แทนการลงคะแนนเสียงของพรรคจะมีอิสระที่จะให้การสนับสนุนผู้สมัครคนใดก็ได้ในการประชุมใหญ่ของพรรคเดโมแครต ที่กำลังจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 19-22 สิงหาคมนี้ที่นครชิคาโก รัฐอิลลินอยล์
การถอนตัวครั้งนี้เกิดขึ้นขณะที่เหลือเวลาอีกเพียง 3 เดือนกว่าๆ ก่อนจะถึงวันเลือกตั้งครั้งใหญ่ในเดือนพ.ย. ถือเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกัน
คำถามแรก คือ อะไรจะเกิดขึ้นต่อไปหลังจากนี้
ปธน.ไบเดน ได้กล่าวผ่านสื่อสังคมออนไลน์ X เมื่อวันอาทิตย์ (21 ก.ค.) ให้การสนับสนุนรองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส เป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครตแทนตัวเขาซึ่งถอนตัวแล้วอย่างเป็นทางการ จึงเป็นไปได้ว่า ผู้แทนการลงคะแนนเสียงของไบเดนซึ่งมีจำนวน 3,896 คน อาจเทคะแนนให้กับรองปธน.แฮร์ริส
อย่างไรก็ตาม จอห์น ซี ฟอร์เทียร์ นักวิชาการแห่งสถาบัน American Enterprise ให้ความเห็นกับวีโอเอว่า ผู้แทนฯ เหล่านั้นไม่มีข้อผูกมัดทางกฎหมายให้ต้องลงคะแนนให้กับไบเดนหรือแฮร์ริส ดังนั้น ตามกฎของพรรคเดโมแครตแล้ว พวกเขาก็สามารถเปลี่ยนใจไปลงคะแนนเสียงให้กับผู้ที่พวกเขาเห็นว่ามีความเหมาะสมมากกว่าได้เสมอ
คำถามที่สอง แล้วใครล่ะที่มีโอกาสจะมาแทนไบเดน
เอเลน คามาร์ก นักวิชาการแห่งสถาบันคลังสมอง Brookings และหนึ่งในสมาชิกคณะกรรมการการประชุมใหญ่ของพรรคเดโมแครต เชื่อว่า รองปธน.แฮร์ริส ยังคงเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งในตอนนี้ และเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผลที่สุด ทั้งนี้เนื่องจากในฐานะสตรีผิวสี แฮร์ริสจะสามารถช่วยสร้างความแข็งแกร่งต่อคะแนนเสียงจากชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันซึ่งเป็นฐานเสียงหลักของเดโมแครตได้
กระนั้นก็ตาม คามาร์กชี้ว่า ตัวแฮร์ริสเองยังมีคะแนนนิยมไม่สูงนักในหมู่ประชาชนอเมริกัน โดยผลสำรวจล่าสุดของ AP-NORC Center for Public Affairs Research ชี้ว่า ผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครต 58% มองว่า แฮร์ริสจะเป็น 'ประธานาธิบดีที่ดี' ขณะที่ประชาชนทั่วไปราว 30% เท่านั้นที่คิดแบบเดียวกัน
คนอื่นๆนอกจากแฮร์ริสที่ถูกกล่าวถึง ว่าอยู่ในข่ายผู้ที่มีโอกาสมาแทนไบเดนซึ่งก่อนหน้านี้ พวกเขานั้นล้วนเป็นผู้ออกมาสนับสนุนการลงสมัครของปธน.ไบเดน คือ
นักวิชาการชี้ว่า เดโมแครตควรหลีกเลี่ยงการสืบทอดตำแหน่งโดยอัตโนมัติจากไบเดนสู่แฮร์ริส หากว่ามีผู้สมัครคนอื่นร่วมลงแข่งขันด้วยหลังจากนี้ แต่ควรจัดให้มีกระบวนการในการคัดเลือกไม่ว่าจะก่อนหรือระหว่างการประชุมใหญ่ของพรรค เพื่อให้ผู้ลงสมัครสามารถขอคะแนนเสียงจากบรรดาผู้แทนได้
ลาร์รี ซาบาโต นักวิชาการจากศูนย์การเมือง มหาวิทยาลัยแห่งรัฐเวอร์จิเนีย (University of Virginia) กล่าวว่า พรรคเดโมแครตจำเป็นต้องเร่งหาคนที่จะมาแทนไบเดนในทันที และต้องเป็นคนที่มีโอกาสจะชนะโดนัลด์ ทรัมป์ ในเวลาอันสั้นด้วย
คำถามที่สาม กระบวนการเลือกตัวแทนพรรคของเดโมแครตเป็นอย่างไร
ข้อมูลจาก Ballotpedia ชี้ว่า ปีนี้พรรคเดโมแครตมี ผู้แทนการลงคะแนนเสียงจำนวนทั้งสิ้น 4,672 คน แบ่งเป็นผู้แทนทั่วไป 3,933 คน และผู้แทนพิเศษ หรือ superdelegates ซึ่งหมายถึงสมาชิกระดับสูงของพรรคจำนวน 739 คน
ผู้ที่จะได้เป็นตัวแทนพรรคเพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีต้องได้จำนวนผู้แทนเกินครึ่งหนึ่ง ซึ่งหากไม่มีผู้สมัครคนใดทำได้ ผู้แทนเหล่านั้นจะมีอิสระในการออกเสียงให้กับผู้สมัครคนใดก็ได้ในการประชุมใหญ่ของพรรค โดยจะเรียกว่าการลงคะแนนในลักษณะนี้ว่า brokered convention ซึ่งครั้งสุดท้ายที่พรรคเดโมแครตมี brokered convention คือในปีค.ศ. 1952
ส่วนการประชุมใหญ่ของเดโมแครตในเดือนหน้า (19-22 สิงหาคม) หากมีผู้เสนอชื่อผู้ลงสมัครคนอื่นนอกเหนือจากรองปธน.แฮร์ริส ก็อาจนำไปสู่การแข่งขันกันภายในพรรคระหว่างการประชุมดังกล่าว
“พรรคเดโมแครตจำเป็นต้องเลี่ยงการแข่งขันแย่งตำแหน่งตัวแทนพรรคแทนไบเดน เพราะจะยิ่งทำให้เกิดความแบ่งแยกและวุ่นวาย ในขณะที่เหลือเวลาอีกเพียงเดือนเดียวเท่านั้นก่อนการประชุมใหญ่” เอเลน คามาร์ก นักวิชาการแห่งสถาบันคลังสมอง Brookings กล่าว
คำถามที่สี่ นับจากนี้ยังมีประเด็นอะไรที่น่าจับตามอง
วีโอเอรายงานว่า ช่วงที่ผ่านมา การรณรงค์หาเสียงคู่กันระหว่างประธานาธิบดีไบเดน และรองปธน.แฮร์ริส สามารถระดมเงินทุนได้ถึง 91 ล้านดอลลาร์ตามรายงานเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งตามกฎแล้ว แฮร์ริสสามารถใช้เงินส่วนนี้ในการหาเสียงต่อไปได้ แต่ก็มีผู้แย้งว่า เงินดังกล่าวยังไม่สามารถถ่ายโอนไปยังคณะหาเสียงของแฮร์ริสโดยอัตโนมัติ เนื่องจากไบเดนยังไม่ได้ผ่านการรับรองเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตอย่างเป็นทางการ
อีกประเด็นที่ต้องจับตามองคือ หากคามาลา แฮร์ริสได้รับการรับรองให้เป็นตัวแทนพรรคแทนไบเดนในการประชุมใหญ่ของเดโมแครตในเดือนสิงหาคมนี้ คำถามที่ตามมาก็คือ ใครจะมาจับคู่กับเธอในฐานะคู่ชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ
เรื่องนี้อาจนำไปสู่ความแบ่งแยกของพรรคได้อีกทางหนึ่งเช่นกัน และนั่นยิ่งทำให้ภาพของเดโมแครตในขณะนี้ดูสับสนวุ่นวายมากขึ้น ขณะที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีใกล้เข้ามาทุกที และเหลืออีกเพียง 3 เดือนกว่า ๆ เท่านั้น
ข้อมูลอ้างอิง