ผู้หญิงผิวขาวรุ่นใหม่กำลังละทิ้งรีพับลิกันเพื่อ "กมลา แฮร์ริส" ?

10 ต.ค. 2567 | 02:30 น.
อัปเดตล่าสุด :10 ต.ค. 2567 | 02:34 น.

ท่ามกลางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผู้หญิงผิวขาวรุ่นใหม่เริ่มหันหลังให้กับพรรครีพับลิกัน และเริ่มมองไปยังตัวเลือกใหม่อย่าง กมลา แฮร์ริส การเคลื่อนไหวนี้กำลังถูกจับตา

โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันกล่าวกับฝูงชนที่ชุมนุมที่เมืองจอห์นสทาวน์ รัฐเพนซิลเวเนียเมื่อเร็วๆ นี้ว่า

"มีคนบอกว่าผู้หญิงไม่ชอบโดนัลด์ ทรัมป์ นั่นไม่ถูกต้อง ฉันคิดว่าพวกเธอรักฉัน ฉันก็รักพวกเธอเหมือนกัน"

แฟ้มภาพ : โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันและอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ แสดงความคิดเห็นระหว่างการชุมนุมที่เมืองจูโน รัฐวิสคอนซิน สหรัฐฯ วันที่ 6 ตุลาคม 2024 REUTERS

ผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงหญิงจำนวนมากถือเป็นกระดูกสันหลังของพรรครีพับลิกันมานานหลายทศวรรษ แต่ผลสำรวจบ่งชี้ว่าการสนับสนุนต่อพรรคอาจลดน้อยลงในเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยเฉพาะ "ผู้หญิงผิวขาวรุ่นเยาว์" ที่กำลังเคลื่อนไหว

กมลา แฮร์ริส ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตและรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ พบปะกับอาสาสมัครรุ่นเยาว์ที่กำลังรวบรวมชุดความช่วยเหลือฉุกเฉิน หลังเกิดพายุเฮอริเคนเฮเลน ณ ศูนย์รับบริจาคทรัพยากรในเมืองชาร์ลอตต์ รัฐนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2024 REUTERS

ในช่วงหลายสัปดาห์หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2016 หลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์สร้างความตกตะลึงให้กับโลกด้วยการเอาชนะ ฮิลลารี คลินตัน สื่อต่างๆก็เริ่มหยิบยกประเด็นผู้หญิงผิวขาวมาอธิบายว่า ทำไมเขาถึงได้รับชัยชนะ โดยผู้หญิงผิวขาว 47% โหวตให้ทรัมป์ ในขณะที่ 45% โหวตให้คลินตัน จากการวิเคราะห์ไฟล์ผู้ลงคะแนนที่ได้รับการยืนยันโดย Pew Research Center

ความสำเร็จของทรัมป์กับผู้หญิงผิวขาว

กลุ่มนี้ลงคะแนนให้กับพรรครีพับลิกัน ในช่วง 72 ปีที่ผ่านมา ผู้หญิงผิวขาวจำนวนมากได้ลงคะแนนให้กับผู้สมัครจากพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเพียง 2 ครั้งเท่านั้นคือในปี 1964 เมื่อ ลินดอน จอห์นสัน ชนะ 44 รัฐ และในปี 1996 เมื่อ บิล คลินตัน ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแบบ 3 คน พบว่า

คะแนนนำของทรัมป์กับผู้หญิงผิวขาวเพิ่มขึ้นในปี 2020

เมื่อมีผู้หญิงผิวขาว 53% ที่สนับสนุนเขา ในทางตรงกันข้าม ผู้หญิงผิวสี 95% ลงคะแนนให้ โจ ไบเดน ในปี 2020 พร้อมกับผู้หญิงฮิสแปนิก (กลุ่มคนที่พูดภาษาสเปน หรือสืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษที่พูดภาษาสเปน ส่วนใหญ่เป็นผู้อพยพมาจากประเทศในแถบอเมริกากลางและอเมริกาใต้ เช่น เม็กซิโก คิวบา โคลอมเบีย) 61% 

ประธานาธิบดีโจไบเดน แห่งสหรัฐฯ พูดคุยกับสื่อมวลชนก่อนออกเดินทางไปยังเซาท์เบนด์ รัฐอินเดียนา จากสนามหญ้าด้านใต้ของทำเนียบขาวในวอชิงตัน สหรัฐฯ วันที่ 5 ตุลาคม 2024 REUTERS

แต่มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างตั้งแต่ปี 2020 โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิง ศาลฎีกาสหรัฐฯ พลิกคำตัดสิน คดี Roe v Wade ในปี 2022 ทำให้สิทธิในการทำแท้ง กลายเป็นประเด็นสำคัญในการเลือกตั้งแฮร์ริส เข้ามาเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตแทนโจ ไบเดน กลายเป็นผู้หญิงผิวสีคนแรกที่ได้รับการเสนอชื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคใหญ่

ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดคำถามว่า ในปี 2024 จะเป็นปีที่ผู้หญิงผิวขาวซึ่งคิดเป็นเกือบ 40% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศจะเข้าร่วมกับผู้หญิงผิวสีในการสนับสนุนพรรคเดโมแครตในที่สุดหรือไม่

ไม่จำเป็นเสมอไป แต่ช่องว่างอาจลดลงได้

หนังสือ The Politics of Gen Z: How the Youngest Voters Will Shape Our Democracy ซึ่งตีพิมพ์เมื่อไม่นานนี้ ระบุว่า จากการวิจัยของผู้เขียน ผู้หญิงผิวสีและผู้หญิงผิวขาวอายุน้อย เป็นเสรีนิยมและเป็นสตรีนิยมเหมือนกันหมด การที่แฮร์ริสได้รับเลือกให้เป็นผู้ได้รับการเสนอชื่อในขณะนี้ แทนที่จะเป็นไบเดน ทำให้พวกเธอกระตือรือร้นที่จะลงคะแนนเสียงมากขึ้น

คำถามก็คือ ผู้หญิงผิวขาวอายุน้อยจะไม่ยอมทำตามกระแสที่ผู้หญิงผิวขาวโดยทั่วไปจะลงคะแนนเสียงให้กับพรรครีพับลิกันหรือไม่ 

การวิเคราะห์ของ Gallup ที่แชร์กับ The Guardian พบว่า การระบุตัวตนแบบเสรีนิยมในหมู่ผู้หญิงผิวขาวเพิ่มขึ้น 6% ระหว่างปี 2011 ถึง 2024 นอกจากนี้ การระบุตัวตนดังกล่าวยังเพิ่มขึ้น 6% ในหมู่ผู้หญิงผิวสี แต่ลดลง 2% ในหมู่ผู้หญิงฮิสแปนิก

Gen Z เป็นกลุ่มคนอเมริกันที่มีความหลากหลายมากที่สุด

แต่การวิจัยของ Gallup แสดงให้เห็นว่านั่นไม่สามารถอธิบายความโน้มเอียงของผู้หญิงรุ่นใหม่ได้ ระหว่างปี 2017 ถึง 2024 ผู้หญิงผิวขาวอายุระหว่าง 18 ถึง 29 ปี 41% ระบุว่าตนเองเป็นพวกเสรีนิยม ซึ่งมากกว่าผู้หญิงผิวสีรุ่นเดียวกันถึง 2%

ผู้หญิงมักจะลงคะแนนเสียงมากกว่าผู้ชายมาเป็นเวลานาน

แต่ในปี 2020 ผู้หญิงผิวขาวอายุ 18-29 ปี 60% ออกไปลงคะแนนเสียง ซึ่งมากกว่ากลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งเยาวชนกลุ่มอื่น ตามการวิเคราะห์ไฟล์ผู้มีสิทธิเลือกตั้งและข้อมูลประชากรจากการสำรวจชุมชนอเมริกัน โดยศูนย์ข้อมูลและการวิจัยการเรียนรู้และการมีส่วนร่วมของพลเมือง ศูนย์วิจัยพบว่า 55% โหวตให้ไบเดนหลังจากวิเคราะห์ข้อมูลจาก AP VoteCast

ทำไมการแข่งขันนี้ถึงได้สูสีกันมาก

ผลสำรวจของ 19th News/SurveyMonkey ในเดือนกันยายนพบว่า ผู้หญิงผิวขาว ชอบแฮร์ริสมากกว่าทรัมป์เพียงเล็กน้อย โดยอยู่ที่ 42% ต่อ 40% (ผลสำรวจมีอัตราคลาดเคลื่อนบวกหรือลบ 1%) ส่วนอีก 18% ที่เหลืออาจเป็นตัวตัดสินว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวก็ได้ ช่องว่างทางเพศระหว่างผู้หญิงผิวขาวกับผู้ชายผิวขาวนั้นกว้างกว่า ผู้ชายผิวขาว 50% ชอบทรัมป์ โดยมีเพียง 36% ที่สนับสนุนแฮร์ริส

ผลสำรวจพบว่าผู้หญิงผิวสีส่วนใหญ่สนับสนุนแฮร์ริส เช่นเดียวกับผู้หญิงเชื้อสายฮิสแปนิกและเอเชียอเมริกันอีกจำนวนมาก

ผลสำรวจของ นิวยอร์กไทมส์/เซียนา เมื่อเดือน กันยายนระบุว่าผู้หญิง 54% วางแผนที่จะลงคะแนนให้แฮร์ริส เมื่อเทียบกับผู้ชาย 40% จุนน์คาดการณ์ว่าผู้หญิงผิวขาวจะยังคงเป็นสมาชิกพรรครีพับลิกันในปี 2024

ผลการสำรวจจาก Galvanize Action ซึ่งเป็นองค์กรที่พยายามระดมผู้หญิงสายกลาง โดยเฉพาะในรัฐเพนซิลเวเนีย วิสคอนซิน และมิชิแกน ซึ่งเป็นรัฐสำคัญที่ผู้หญิงผิวขาวสายกลางนิยมเข้าร่วม พบว่าการแข่งขันเป็นไปอย่างสูสีระหว่างผู้หญิงผิวขาวสายกลาง โดยผู้หญิงเหล่านี้ มีคะแนนนิยมสนับสนุนอดีตประธานาธิบดีถึง 43% ต่อ 44% ผู้หญิงเหล่านี้ มีการระบุว่าไม่ได้มีอุดมการณ์ทางการเมืองเหมือนกับเดโมแครตหรือรีพับลิกัน มีผู้ลงคะแนนเสียงมากกว่า 5 ล้านคนใน 3 รัฐดังกล่าว

ทรัมป์มีข้อได้เปรียบเมื่อพูดถึงประเด็นสำคัญเกี่ยวกับผู้หญิงในเรื่องเศรษฐกิจและการย้ายถิ่นฐาน แต่ ผู้หญิงที่ถูกสำรวจโดย Galvanize Action ไว้วางใจแฮร์ริสในเรื่องประชาธิปไตยและเสรีภาพในการสืบพันธุ์มากกว่า

อ้างอิงข้อมูล