อินโดนีเซีย ร่วมเกมกลุ่ม BRICS เปลี่ยนดุลอำนาจเอเชียแปซิฟิก

08 ม.ค. 2568 | 04:15 น.
อัปเดตล่าสุด :08 ม.ค. 2568 | 04:16 น.

อินโดนีเซียเข้าร่วมกลุ่ม BRICS เดินยุทธศาสตร์ใหม่หลังเปลี่ยนผู้นำ หวังยกระดับพลังเศรษฐกิจที่เปลี่ยนสมดุลในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก สหรัฐจับตาใกล้ชิด

อินโดนีเซีย ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้รับการยอมรับในฐานะสมาชิกเต็มรูปแบบของกลุ่ม BRICS ซึ่งประกอบด้วยประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อย่างบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ การตัดสินใจครั้งนี้มีขึ้นหลังจากประธานาธิบดีคนใหม่ของอินโดนีเซีย ปราโบโว สุเบียนโต ขึ้นดำรงตำแหน่ง พร้อมกับแนวทางยุทธศาสตร์ใหม่ที่มุ่งเสริมบทบาทในเวทีระหว่างประเทศ

การเข้าร่วม BRICS ถือเป็นก้าวสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองและเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย โดยกลุ่ม BRICS ซึ่งเป็นตัวแทนประชากรโลกถึง 45% และมีส่วนแบ่งเศรษฐกิจโลกมหาศาลกำลังกลายเป็นกลไกสำคัญที่ท้าทายระเบียบโลกที่นำโดยสหรัฐอเมริกา

ในที่ประชุมสุดยอด BRICS ที่เมืองคาซาน รัสเซีย ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานหมุนเวียนของกลุ่ม ได้ประกาศการเริ่มต้น "ระเบียบโลกใหม่" ซึ่งมุ่งท้าทายระบบโลกที่นำโดยสหรัฐฯ ทั้งในด้านการเมืองและเศรษฐกิจ

ทำไมอินโดนีเซียตัดสินใจเข้าร่วม BRICS?

อินโดนีเซียเคยลังเลในการเข้าร่วมกลุ่ม BRICS ภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดีโจโก วิโดโด ซึ่งมีความกังวลเกี่ยวกับการถูกมองว่าใกล้ชิดกับจีนมากเกินไป แต่รัฐบาลใหม่ภายใต้ปราโบโวแสดงความมุ่งมั่นที่จะใช้เวที BRICS ในการสนับสนุนยุทธศาสตร์ "ความเป็นอิสระและกระตือรือร้น" ในการต่างประเทศ

การเป็นสมาชิก BRICS เปิดโอกาสให้อินโดนีเซียเสริมสร้างความร่วมมือด้านเศรษฐกิจกับประเทศในกลุ่ม เช่น การพัฒนาระบบการเงินที่พึ่งพาสกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของกลุ่ม BRICS ที่ต้องการลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐ

นอกจากนี้ การที่อินโดนีเซียเป็นประเทศที่ได้รับเงินลงทุนสูงสุดจากโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) ของจีนในปี 2566 ยังแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ระหว่างอินโดนีเซียและจีน ซึ่งอาจได้รับแรงสนับสนุนเพิ่มเติมจากกลไกของ BRICS

อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยปราศจากแรงกดดันจากภายนอก เมื่อประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เคยแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าอาจกำหนดภาษี 100% กับประเทศสมาชิก BRICS หากกลุ่มนี้แทนที่การใช้ดอลลาร์สหรัฐในระบบการค้าโลก

การที่ BRICS มุ่งส่งเสริมการใช้สกุลเงินท้องถิ่นในระบบการค้าระหว่างประเทศและผลักดันแนวคิด "การลดการใช้ดอลลาร์" กลายเป็นความท้าทายที่สหรัฐฯ และพันธมิตรต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด

อำนาจเอเชียแปซิฟิกเปลี่ยนโฉม

ในมุมภูมิศาสตร์การเมือง การเข้าร่วม BRICS ของอินโดนีเซียอาจเปลี่ยนสมดุลอำนาจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยเฉพาะเมื่ออินโดนีเซียเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่อันดับหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความเคลื่อนไหวนี้อาจกระตุ้นให้ประเทศอื่นในภูมิภาค เช่น ไทย และมาเลเซีย เร่งพิจารณาเข้าร่วมกลุ่มเช่นกัน

โดยประเทศไทยได้ยื่นความประสงค์เข้าร่วมกลุ่ม BRICS และได้รับการประกาศเป็น "ประเทศหุ้นส่วน" อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2567 ในการประชุมสุดยอด BRICS Plus ครั้งที่ 4 ที่เมืองคาซาน ประเทศรัสเซีย โดยสถานะนี้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 การเข้าร่วมครั้งนี้ช่วยเสริมโอกาสทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และบทบาทของไทยในเวทีโลก รวมถึงสนับสนุนการใช้สกุลเงินท้องถิ่นเพื่อลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม ไทยยังไม่ได้เป็นสมาชิกเต็มรูปแบบ และต้องดำเนินการเพิ่มเติมเพื่อบรรลุสถานะดังกล่าวในอนาคต

ประธานาธิบดีปราโบโวยังใช้โอกาสนี้ในการผลักดันบทบาทของอินโดนีเซียในประเด็นระหว่างประเทศที่สำคัญ เช่น ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง โดยเน้นการสนับสนุนสิทธิของชาวปาเลสไตน์ ซึ่งเป็นประเด็นที่อินโดนีเซียให้ความสำคัญมานาน

นอกจากบทบาททางเศรษฐกิจและการเมือง อินโดนีเซียยังแสดงความพร้อมที่จะสนับสนุนการปฏิรูปโครงสร้างการบริหารระหว่างประเทศ เช่น การลดอิทธิพลของประเทศตะวันตกในการกำหนดนโยบายโลก

เมื่อพิจารณาถึงความสำคัญของ BRICS ซึ่งครอบคลุมประชากรเกือบครึ่งหนึ่งของโลก และมีส่วนแบ่งเศรษฐกิจโลกกว่า 35% การเข้าร่วมครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่สำคัญสำหรับอินโดนีเซียในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับสถานะในเวทีโลก

การตัดสินใจครั้งนี้ยังเป็นสัญญาณให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์ที่เน้นการพึ่งพาอาศัยกันระหว่างประเทศในกลุ่ม Global South มากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การจัดตั้งระบบเศรษฐกิจและการเงินที่เป็นธรรมและยั่งยืนยิ่งขึ้น

อินโดนีเซียในฐานะสมาชิกใหม่ของ BRICS อาจกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และช่วยเสริมสร้างบทบาทของกลุ่ม BRICS ในฐานะคู่แข่งที่แข็งแกร่งต่อระเบียบโลกที่นำโดยชาติตะวันตก

 

อ้างอิง: Bloomberg, Timesofindia, APNews, Reuters, Lowyinstitute