thansettakij
อนาคตงานปี 2025 ไฮบริดครองเทรนด์ บริษัทยักษ์ใหญ่หันหลังให้ RTO

อนาคตงานปี 2025 ไฮบริดครองเทรนด์ บริษัทยักษ์ใหญ่หันหลังให้ RTO

25 มี.ค. 2568 | 08:00 น.

การทำงานปี 2025 ไฮบริดจะครองตลาด แม้มีแรงกดดันกลับออฟฟิศ 5 วัน ผู้เชี่ยวชาญชี้ บริษัทที่ยืดหยุ่นจะเป็นผู้ชนะ เพราะพนักงานดาวเด่นพร้อมลาออกหากถูกบังคับ RTO เต็มรูปแบบ

ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา บริษัทอย่าง Amazon, AT&T, Boeing, Dell และ Walmart ได้เรียกพนักงานบางส่วนให้มาทำงานที่สำนักงานห้าวันต่อสัปดาห์

คำสั่งให้กลับมาทำงานที่สำนักงาน (RTO) ได้ไปถึงทำเนียบขาวหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งบริหารที่สั่งให้หัวหน้าแผนกและหน่วยงานทั้งหมดในฝ่ายบริหารยกเลิกการจัดการทำงานทางไกลและกำหนดให้พนักงานรายงานตัวที่สำนักงานเต็มเวลา โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หลังจากนั้นไม่นาน รัฐบาลทรัมป์ได้เสนอเงินชดเชยให้พนักงานรัฐบาลพลเรือนเกือบทั้งหมดเพื่อลาออกภายในวันที่ 6 กุมภาพันธ์

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า แนวโน้มนี้อาจทำให้เกิดการลาออกเป็นระลอกและการไม่มีส่วนร่วมในการทำงาน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีผลงานดี

กลับมาทำงานที่ออฟฟิตอาจทำให้พนักงานดาวเด่นลาออก

เกือบครึ่งหนึ่ง หรือ 46% ของพนักงานแบบไฮบริดและทำงานทางไกลกล่าวว่า คงจะไม่อยู่ในงาน หากนายจ้างเรียกกลับไปทำงานที่สำนักงานเต็มเวลา ตามการสำรวจของศูนย์วิจัย Pew ในเดือนตุลาคมที่มีผู้ตอบแบบสอบถามมากกว่า 5,200 คน

บริษัทบางแห่งอาจหวังว่าพนักงานที่ยังทำงานจากบ้านจะลาออกแทนที่จะปฏิบัติตาม บริษัทที่วางแผนจะลดการจ้างงานอย่างมีนัยสำคัญมีแนวโน้มที่จะบังคับใช้คำสั่ง RTO มากกว่าขยายโอกาสการทำงานทางไกล ตามการวิจัยจาก ZipRecruiter เเละยังรายงานอัตราการลาออกที่สูงขึ้นด้วย

ในอดีต พนักงานที่มีแนวโน้มจะลาออกหลังจากที่มีการออกคำสั่ง RTO มักจะเป็นพนักงานดาวเด่นที่มีทักษะสูงและอายุงานมาก ตามการวิจัยจากมหาวิทยาลัยพิตส์เบิร์ก

การศึกษาซึ่งวิเคราะห์บริษัทใน S&P 500 พบว่า บริษัทที่ลดความยืดหยุ่นในสถานที่ทำงานประสบกับ การลาออกที่สูงผิดปกติ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิง พนักงานอาวุโส และพนักงานที่มีทักษะ บริษัทเหล่านี้ใช้เวลานานกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ในการเติมตำแหน่งที่ว่างและเห็นอัตราการจ้างงานของพวกเขาลดลงอย่างมีนัยสำคัญ นักวิจัยระบุ

พนักงานที่ยังคงอยู่อาจทำงานเเค่พอผ่านไปวันๆ 

เนื่องจากตลาดงานที่ยากลำบากกว่าเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้ที่ต้องการลาออกแต่ไม่มีที่ไหนให้ไป มีแนวโน้มที่จะอยู่ต่อและเป็นภาระต่อความผูกพันของพนักงาน มาร์ค หม่า รองศาสตราจารย์ด้านบริหารธุรกิจที่มหาวิทยาลัยพิตส์เบิร์ก กล่าว

พนักงานบางคนอาจทำงานแค่เพื่อไม่ให้ถูกไล่ออก และระหว่างนั้นก็หางานใหม่ไปด้วย เมื่อเจองานที่ดีกว่า พวกเขาก็จะลาออก ซึ่งไม่ใช่สถานการณ์ที่ดีสำหรับนายจ้างเลย

ข้อมูล ณ เดือนตุลาคม 2024 พนักงานส่วนใหญ่ 53% กล่าวว่า การหางานใหม่ที่ต้องการจะเป็นเรื่องยาก เพิ่มขึ้นจาก 37% ของคนที่รู้สึกแบบนั้นในปี 2022 ตามข้อมูลของ Pew

นั่นอาจจะไม่สามารถยับยั้งพนักงานเกือบครึ่งที่จะพยายามลาออก หากบริษัทของพวกเขามีคำสั่ง RTO ที่เข้มงวดมากขึ้น แสดงให้เห็นว่า พวกเขาให้คุณค่ากับความยืดหยุ่นที่มาพร้อมกับการทำงานแบบไฮบริดมากแค่ไหน คิม พาร์คเกอร์ ผู้อำนวยการวิจัยแนวโน้มทางสังคมที่ศูนย์วิจัย Pew กล่าว

บริษัทที่มีตารางเวลายืดหยุ่นมีแนวโน้มที่จะยังคงดำเนินการต่อไป

โดยรวมแล้ว นักวิจัยเชื่อว่า "โมเดลไฮบริด" จะยังเป็นแนวทางหลัก มากกว่าการบังคับให้กลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา

งานวิจัยจาก S&P 500 ในปี 2024 พบว่า มีเพียง 10 บริษัท ที่ประกาศให้พนักงานบางส่วนกลับไปทำงานเต็มเวลา ตลอดทั้งปี

ZipRecruiter วิเคราะห์ข้อมูลจากผู้จัดการฝ่ายจ้างงานกว่า 2,000 ราย พบว่า

  • 31% ของบริษัท ลดโอกาสในการทำงานระยะไกล
  • 33% ของบริษัท ขยายโอกาสทำงานระยะไกลเพิ่มขึ้น

บริษัทใหญ่ยังมีอำนาจต่อรอง แต่บริษัทเล็กต้องพึ่งความยืดหยุ่น

บริษัทขนาดใหญ่อาจสามารถกำหนดนโยบายให้พนักงานกลับเข้าออฟฟิศได้ง่ายกว่า เนื่องจากสามารถ จ่ายเงินเดือนสูงกว่า ดึงดูดผู้สมัครงานได้มากขึ้น ในขณะที่ บริษัทขนาดเล็กที่ไม่สามารถแข่งเรื่องเงินเดือนได้ อาจใช้ "ความยืดหยุ่นในการทำงาน" เป็นข้อได้เปรียบแทน