ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก กำลังเผชิญกับแรงกดดันทางการค้าครั้งใหญ่ หลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสูงลิ่ว ส่งผลให้หลายประเทศในอาเซียนต้องแบกรับต้นทุนภาษีที่สูงถึง 32% - 49% ขณะที่สหภาพยุโรปมีอัตราภาษีเฉลี่ยเพียง 20% เท่านั้น
ในบรรดา 10 ประเทศอาเซียนที่ได้รับผลกระทบ มี 6 ประเทศที่ถูกตั้งกำแพงภาษีสูงเกิน 30% รวมถึงประเทศไทยซึ่งได้รับอัตราภาษี 37% โดยยังต้องรอการชี้แจงเพิ่มเติม เนื่องจากเอกสารภาคผนวกบางฉบับระบุว่าอัตราภาษีของไทยอยู่ที่ 36% ขณะที่เวียดนาม ซึ่งเป็นหนึ่งในฐานการผลิตหลักของบริษัทระดับโลก ถูกเก็บภาษีสูงถึง 46% ส่วนกัมพูชามีอัตราภาษีสูงสุดที่ 49%
การขึ้นภาษีครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งดำเนินมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่สมัยทรัมป์ดำรงตำแหน่งในวาระแรก บริษัทจีนและผู้ผลิตระดับโลกจำนวนมากได้ย้ายฐานการผลิตมายังประเทศอย่างเวียดนามและไทย เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีที่สหรัฐฯ กำหนดต่อจีนโดยตรง แต่มาตรการล่าสุดนี้อาจทำให้ซัพพลายเชนต้องเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
ผลกระทบต่อไทยและอุตสาหกรรมส่งออกอาเซียนยังคงต้องจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรมที่พึ่งพาตลาดอเมริกาเป็นหลัก เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และสิ่งทอ มาตรการดังกล่าวอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการกำหนดทิศทางของภาคการผลิตในภูมิภาคนี้ในอนาคต
ที่มาข้อมูล: Whitehouse.gov