ธุรกิจครอบครัวจำนวนมากนั้นมักจะพึ่งพาสมาชิกครอบครัวในการทำงานด้วยการเปิดโอกาสให้เข้ามาเป็นพนักงานในบริษัทเสมอ แต่ก็มักมีคำถามตามมาว่าเมื่อใดคือเวลาที่เหมาะสมในการนำทายาทเข้าสู่ธุรกิจครอบครัวและควรมีวิธีการอย่างไรบ้าง ประเด็นการพิจารณานำทายาทเข้ามาทำงานในธุรกิจครอบครัวที่สำคัญมีดังต่อไปนี้
ทายาทวัยรุ่นควรทำงานในธุรกิจครอบครัวหรือไม่ พ่อแม่หลายคนกังวลเกี่ยวกับการส่งลูกวัยรุ่นเข้ามาทำงานในธุรกิจครอบครัว โดยหวังว่าธุรกิจครอบครัวจะเป็นมรดกส่วนหนึ่งที่สามารถทิ้งไว้ให้ลูกหลานในอนาคตได้ แต่ในมุมกลับกันพ่อแม่อาจกำลังกดดันลูกวัยรุ่นมากเกินไปด้วยการให้พวกเขาเข้ามามีบทบาทในบริษัท หรือกำลังปลูกฝังความสนใจในอาชีพระยะยาวกันแน่ ซึ่งคำตอบขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ดังต่อไปนี้
• ประเภทของธุรกิจที่ดำเนินการ
• ความเป็นผู้ใหญ่ จุดแข็ง และความท้าทายของลูก
• ลูกสนใจที่จะทำงานร่วมกับพ่อแม่หรือไม่
• วัฒนธรรมในที่ทำงาน และการเปลี่ยนแปลงในการทำงานหากมีการทำงานกับ “ลูกเจ้านาย”
มีการศึกษาหนึ่งแนะนำว่าการนำลูกวัยรุ่นเข้าสู่ธุรกิจครอบครัวสามารถส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูก และยังอาจป้องกันภาวะซึมเศร้าได้ด้วย แต่ก็มีข้อดีมากมายจากการให้ลูกออกไปทำงานภายนอกบริษัท เพราะเมื่อทำงานให้คนอื่น ลูกจะสามารถเรียนรู้วิธีแยกปัญหาส่วนตัวและเรื่องงานออกจากกัน และหลีกเลี่ยงการเล่นพรรคเล่นพวกในที่ทำงานได้ ซึ่งสิ่งสำคัญสำหรับลูกคือ การรับรู้ว่าพ่อแม่ยินดีต้อนรับเข้าร่วมธุรกิจของครอบครัวและตั้งตารอที่จะได้ร่วมงานกับตน แต่โปรดระวังอย่าให้ล้ำเส้นไปจนกลายเป็นการบังคับขู่เข็ญ
การเลือกตำแหน่งเริ่มต้นของทายาท ในฐานะพ่อแม่มักจะเชื่อว่าลูกของตนดีที่สุด ทั้งฉลาด แข็งแกร่ง และดีพอ สำหรับทุกสิ่งที่เข้ามาในชีวิต อย่างไรก็ตามในฐานะเจ้าของธุรกิจ ท่านต้องจริงจังในการระบุถึงทักษะที่ลูกมีเมื่อเริ่มทำงาน โดยตำแหน่งเริ่มต้นที่เหมาะสมของลูกควรจะอยู่ที่ระดับล่างของธุรกิจ ซึ่งไม่เพียงจะช่วยในการพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับการเป็นเจ้าของธุรกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณความเป็นธรรมต่อพนักงานที่ไม่ใช่สมาชิกในครอบครัวอีกด้วย ทั้งนี้หากเริ่มให้ลูกวัยรุ่นเข้าทำงานในธุรกิจครอบครัว ควรเอาใจใส่ในประเด็นต่อไปนี้
• ลูกสามารถจัดการเงินอย่างมีความรับผิดชอบได้หรือไม่
• ลูกโตพอที่จะโต้ตอบกับลูกค้าหรือไม่
• ลูกพร้อมจะเรียนรู้และปรับตัวเข้ากับการทำงานของบริษัทหรือไม่ ปฏิบัติกับลูกเช่นเดียวกับพนักงานใหม่ ซึ่งการประเมินทักษะสามารถช่วยให้สามารถระบุจุดแข็ง ความสนใจ และความท้าทายของลูกได้ เพื่อช่วยในการเลือกตำแหน่งเริ่มต้นที่เหมาะกับลูกและธุรกิจได้
เมื่อใดควรเลื่อนตำแหน่งให้ลูก เมื่อลูกโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ และอาจจบการศึกษาในระดับสูง ทักษะของพวกเขาจะเปลี่ยนไปและเพิ่มขึ้นด้วย เช่นเดียวกับบทบาทในบริษัท ลูกจะต้องการได้รับการยอมรับโดยการเลื่อนตำแหน่งและเพิ่มความรับผิดชอบขึ้น นอกจากนี้พ่อแม่อาจจะรีบให้ลูกก้าวขึ้นสู่บทบาทผู้นำและรับช่วงต่อธุรกิจในที่สุด
แต่การเลื่อนตำแหน่งให้สมาชิกในครอบครัวเร็วเกินไปอาจทำให้เกิดความเครียดและความขัดแย้งของทุกคนในบริษัทได้ พ่อแม่อาจจะต้องแนะนำให้ลูกๆ แก้ไขข้อผิดพลาดและเรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาดไป นั่นอาจก่อให้เกิดความไม่พอใจกันขึ้น ขณะที่ลูกซึ่งต้องการทำงานให้เก่ง ก็จะรู้สึกเครียดเช่นกันที่ไม่สามารถทำตามความคาดหวังได้ ในขณะเดียวกันพนักงานคนอื่นๆอาจเห็นว่าการที่เจ้านายเลื่อนตำแหน่งให้ลูกเป็นการเลือกที่รักมักที่ชังเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง มากกว่าจะเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ชาญฉลาด
ดังนั้นทางออกคือการประเมินทักษะและการฝึกสอนอย่างมืออาชีพ โดยที่ปรึกษาทางธุรกิจจะสามารถช่วยประเมินลูกได้ เพื่อให้พ่อแม่ทราบว่าเมื่อใดควรเลื่อนตำแหน่งลูกให้สูงขึ้น อีกทั้งลูกยังสามารถทำงานร่วมกับโค้ชภาวะผู้นำเพื่อพัฒนาทักษะในตำแหน่งใหม่ที่ตนต้องการ และตอบสนองความคาดหวังของเพื่อนร่วมงาน
รวมถึงพิสูจน์ความสามารถของตนเอง แทนที่จะอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างลูกกับพ่อแม่ซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจในการเลื่อนตำแหน่ง อย่างไรก็ตามการมอบบทบาทในธุรกิจครอบครัวให้ลูกจึงเป็นสิ่งที่ควรทำด้วยยความรอบคอบ การทำงานร่วมกับที่ปรึกษาทางธุรกิจจะสามารถช่วยให้พ่อแม่ได้เห็นลูกในตำแหน่งที่ควรอยู่ และกระตุ้นให้พวกเขาเติบโตเป็นผู้นำที่ดีอย่างที่ควรจะเป็นอีกด้วย
ที่มา: Stanislaw,D. Jun 9, 2021. Deciding Your Kids’ Role in the Family Business. Family Business. Available: https://stanislawconsulting.com/deciding-your-kids-role-in-the-family-business/
ข้อมูลเพิ่มเติม: www.famz.co.th
หน้า 17 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,860 วันที่ 9 - 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566