คนไทยทำใจหนีไม่พ้น... ฉีดวัคซีนไขว้ “สลับยี่ห้อ” แน่

16 ก.ค. 2564 | 09:18 น.
อัปเดตล่าสุด :16 ก.ค. 2564 | 16:32 น.

คนไทยทำใจหนีไม่พ้น... ฉีดวัคซีนไขว้ “สลับยี่ห้อ” แน่ : คอลัมน์ทางออกนอตำรา ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3697 หน้า 6 ระหว่างวันที่ 18-21 ก.ค.64 โดย... บากบั่น บุญเลิศ

     ในยุคข้อมูลข่าวสารที่ท่วมหัวคนไทยจนหลายคนชักจะเอาตัวไม่รอด ผมอยากพาทุกคนมาประมวล วิเคราะห์ สังเคราะห์ข่าวเชิงนโยบายเรื่องหนึ่ง ที่กระทบกับชีวิตคนไทยทั้งประเทศ ที่กำลังตามหา “วัคซีน”

     ฉากแรก....เกิดขึ้นจากการประชุมคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อแห่งชาติ ที่มี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุขและรองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เมื่อวันที่ 12 ก.ค.2564 ก่อนจะแถลงว่าคณะกรรมการมีมติให้ฉีดวัคซีนสลับไขว้คนละยี่ห้อ คนละสูตรกัน โดยให้ฉีด “วัคซีนซิโนแวค” เข็มแรก อีก 3 สัปดาห์ ให้ฉีด “วัคซีนแอสตราเซเนกา” เป็นเข็มที่ 2 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันในการสู้กับโรคโควิดสายพันธุ์เดลต้า

     ต่อมาคณะกรรมการด้านวิชาการ ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 ครั้งที่ 23/2564 ที่มี ศ.นพ.สมหวัง ด่านชัยวิจิตร เป็นประธานคณะกรรมการ และกรรมการ 4 คน ประกอบด้วย 1. ศ.พญ.กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล  2.นพ.สุรัคเมธ มหาศิริมงคล ผู้อำนวยการสถาบันชีววิทยาศาสตร์ทางการแพทย์กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ 3. ศ.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม 4.นางเรนู มาดันลาล การ์ก ผู้แทนองค์การอนามัยโลก ประจำประเทศไทย ร่วมประชุม โดยมีมติสนับสนุนมติคณะกรรมการโรคติดต่อฯที่เห็นชอบการให้วัคซีนโควิด-19 สลับชนิด กรณีฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 เป็นซิโนแวค ตามด้วยแอส ตราเซเนกา เป็นเข็มที่ 2 ระยะห่าง 3-4 สัปดาห์

คนไทยทำใจหนีไม่พ้น... ฉีดวัคซีนไขว้ “สลับยี่ห้อ” แน่

     แนวทางนี้กำลังเป็น “ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์” ในประเทศไทยว่า จะเอาอย่างไรกันแน่

     ฉากที่สอง.....เกิดขึ้นในวันรุ่งขึ้น 13 ก.ค.2564 ในที่ประชุมคณะรัฐนตรี (ครม.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยกเรื่องมาคุยกัน โดยนำคลิปวิดีโอของ  Dr.Soumya Swaminathan หัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์ องค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ระบุว่า การผสมสูตรวัคซีนเป็นเทรนด์ที่อันตราย เพราะยังไม่มีข้อมูลผลกระทบด้านสุขภาพ มาเปิดให้ที่ประชุมได้รับชม

     พล.อ.ประยุทธ์ ได้พูดถึงมติคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติที่ได้แถลงข่าวไปว่า จะให้ฉีดสลับยี่ห้อ จากซิโนแวคเข็ม 1 แล้ว เข็มที่ 2 ให้เป็นแอสตร้าเซนเนกา, ซิโนแวคเข็ม 1 และ 2 แล้ว ให้บูสเตอร์เข็ม 3 เป็น

     แอสตร้าเซนเนกา โดยระบุว่า เรื่องดังกล่าวขอให้หมอเป็นผู้ตัดสินใจ และนำข้อมูลของ WHO มาประกอบการพิจารณาให้ถี่ถ้วน และดำเนินการให้รอบคอบ

     ขณะที่ นายอนุทิน ชี้แจงว่า  คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติเป็นผู้พิจารณาเรื่องนี้ ไม่ได้มีแค่หมอในกระทรวงสาธารณสุข แต่มีหมอจากหลายภาคส่วนอยู่ในนั้นด้วย

คนไทยทำใจหนีไม่พ้น... ฉีดวัคซีนไขว้ “สลับยี่ห้อ” แน่

     แสดงว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องนี้จึงยกปัญหาขึ้นมาหารือกันอย่างเคร่งเครียดร่วม 2 ชั่วโมง หลายคนบอกว่า ในทางการเมืองและการบริหารราชการแผ่นดินคือ เบรกการตัดสินใจฉีดวัคซีนแบบ “ไขว้สลับสูตร”

     แต่ช้าแต่....วันรุ่งขึ้น 14 ก.ค.2564 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกรัฐบาล ออกมาให้ข่าวว่า “ขณะนี้สิ่งสำคัญคือเร่งฉีดวัคซีนให้ได้มากที่สุด เร็วที่สุด เพราะสายพันธุ์เดลตามีการระบาดที่รุนแรงและกำลังเป็นปัญหาทั่วโลกรวมทั้งไทย วัคซีนทุกชนิดสามารถลดความรุนแรงและลดความเสี่ยงเสียชีวิต ขณะที่การวิจัยในไทยก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางแก้ปัญหา ที่แสดงถึงความพยายามของคณะแพทย์ไทยที่ไม่หยุดคิด ไม่ยอมแพ้กับปัญหาและทำอย่างเป็นระบบ...

     นายกรัฐมนตรี ไม่มีนโยบายระงับการใช้วัคซีนผสมสูตร/สลับสูตร แต่ขอให้ทุกฝ่ายรับฟังความเห็นของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เพื่อนำมาพิจารณาอย่างถี่ถ้วน”

     ไม่ว่าการดำเนินการจะเป็นเช่นไร เรื่องการฉีดวัคซีนจะเป็นเดิมพันในชิตของคนไทย และหากมีความผิดพลาดเกิดขึ้นจากการสลับไขว้ สลับสูตร จะต้องมีผู้รับผิดชอบในการตัดสินใจในอนาคตแน่นอน...

     หมอหลายคนบอกว่า แนวทางการสลับขั้ว สลับสูตรฉีดวัคซีนนั้นความจริงแล้ว มีการศึกษาทดลองอยู่แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนต้องใช้เวลาอีก 30-40 วัน แต่ฝ่ายการเมืองนำมาเป็นนโยบายเร็วไป จึงทำให้กลายเป็นวัคซีนการเมืองไปในที่สุด

     ฉากที่สาม เกิดขึ้นในการประชุมคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ เมื่อวันที่ 14 ก.ค.2564 ที่ประชุมให้ความเห็นชอบ กรอบการจัดหาวัคซีนในปี 2564 จำนวน 117 ล้านโดส ด้วยการขยายระยะเวลาการส่งมอบวัคซีน

     แอสตราซิเนกา จำนวน 61 ล้านโดสออกไปจากเดิมสิ้นเดือนธันวาคม 2564 ออกไปเป็น เดือนพฤษภาคม 2565 และเพิ่มจำนวนการจัดหาวัคซีนชิโนแวคจาก 19.5 ล้านโดส มาเป็น 21 ล้านโดส

     มอบหมายให้สถาบันวัคซีนแห่ชาติไปออกประกาศเพื่อควบคุมการส่งออกวัคซีนที่ผลิตในประเทศให้จัดสรรไว้รองรับในประเทศในสัดส่วน 1 ใน 3 ของแต่ละช่วงเวลาการผลิต แสดงว่า การจัดหาวัคซีนมีปัญหาหนัก ปรากฎการณ์ไม่มาตามนัดเกิดขึ้นยาว....

     เหตุการณ์ 3 ฉากที่เกิดขึ้น นับตั้งแต่วันจันท์ที่ 12 ก.ค.-14 ก.ค.2564 ล้วนแต่เกี่ยวพันเป็นเรื่องเดียวกัน ตอบโจทย์เรื่องเดียวกันคือ ประเทศไทยปัญหาการจัดหาวัคซีนและการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน และนั่นหมายถึงว่าการเดินหน้าฉีดสลับสูตรจะบังเกิดขึ้นแน่นอน...เชื่อหัวไอ้บากบั่นเถิดครับเจ้านาย...

คนไทยทำใจหนีไม่พ้น... ฉีดวัคซีนไขว้ “สลับยี่ห้อ” แน่

     ฉากที่สี่...ปัญหา “วัคซีนซิโนแวค” หลังจากฉีดสองเข็มจะเห็นภูมิคุ้มกันที่ยับยั้งไวรัสได้ที่ 30 วัน หลังจากฉีดเข็มที่สอง ในระยะแรก แต่หลังจากนั้นภูมิคุ้มกันในเลือดจะลดลงอย่างรวดเร็ว แม้ว่าในระยะแรกจะสูงถึง 90% ก็ตกลงมาเหลือ 30-40% จึงต้องบูสเตอร์เข็ม 3 เรื่องราวนี้เกิดขึ้นจากหมอเวชศาสตร์ฉุกเฉิน ที่ใช้ชื่อ “Apple Chai” โพสต์เฟสบุ๊กแชร์ประสบการณ์ฉีด Astrazeneca เข็มที่ 3 หลังฉีด Sinovac 2 เข็ม…

     “สวัสดี เราคือแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน ผู้ทำงานใส่ท่อช่วยหายใจ และรับผู้ป่วยโรคโควิดนอนรอเตียงที่ห้องฉุกเฉิน เราได้รับวัคซีน sinovac 2 เข็มเมื่อ 16 เม.ย. และ 7 พ.ค. 2564 และทำงานใน ร.พ.ที่มีพยาบาลเสียชีวิตจากการติดโควิด 19 หลังฉีดวัคซีน sinovac 2 เข็มมาแล้ว จากข้อมูลการวิจัยที่พบว่าหลังจากฉีด sinovac ภูมิคุ้มกันจะตกลง 50% หลังฉีดไป 40 วัน และไม่สามารถป้องกันสายพันธุ์เดลต้าได้ ทาง รพ. จึงอนุมัติให้ฉีด astrazeneca เข็มที่ 3 เพื่อกระตุ้นภูมิต้านทาน จึงได้ไปฉีดมาเมื่อ 12 ก.ค. 64 ที่ผ่านมา อยากขอมาแชร์ประสบการณ์หลังฉีดเข็ม 3 ด้วย astrazeneca ดังนี้

     - ฉีดวัคซีน astrazeneca เวลา16.30 น. ของวันที่ 12 ก.ค. 64

     - หลังฉีด ปวดแขนบริเวณที่ฉีดนิดหน่อย และเริ่มง่วงๆ แบบคนกินยาลดน้ำมูก

     - อาบน้ำเข้านอน กินยาพาราฯกับ dimenhydrinate ก่อนนอนเตรียมไว้

     - ประมาณเที่ยงคืน ตื่นมากลางดึกด้วยอาการหนาวสั่น ดีที่เคยตรวจคนไข้ผลข้างเคียง astrazeneca ไว้เยอะมาก และน้องสาวเคยฉีดมาแล้วจึงบอกอาการคร่าวๆ ไว้ เลยไม่ค่อยตกใจเท่าไหร่ เตรียมใจมาแล้ว ขนาดเตรียมใจเจอเข้าจริงก็ยังหนาวมาก ขนาดใส่เสื้อกันหนาว ห่มผ้าไว้ ก็ยังสั่น หนาวแบบเหมือนอยู่ขั้วโลก นอนขด เสื้อกันหนาว ผ้าห่ม ไม่ช่วยอะไร ห่มไปก็สั่นอยู่ดี ประหนึ่งนอนกลางหิมะ...

     - ตื่นมาตอนเช้า ทุกอาการมาหมด คลื่นไส้ ปวดตัว ปวดหลัง ปวดชายโครง กล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ย เพลียแรง ไม่มีแรงลุกจากเตียง ดีที่ซื้อโจ๊กเซเว่นแช่ในตู้เย็นไว้ เอามาเวฟกินประทังชีวิต

     - ตอนสายๆ อาการดีขึ้นเพราะกินพาราดักไว้ทุก 4 ชม. คิดว่าไม่เป็นอะไรแล้ว

     - ตอนบ่ายโมง อาการหนาวสั่นมันกลับมาอีก หนาวสั่นสะท้าน ประหนึ่งอยู่ขั้วโลก สั่นจากข้างใน กลับมานอนห่มผ้าเช่นเดิม

     - ก่อนนอนคืนต่อมา ยังคงหนาว ปวดหัวและปวดตัว มีถ่ายเหลว 2 ครั้ง แล้วอดทนนอนหลับ นอนฟังธรรมหลวงตาสุริยา เรื่องเวทนาไม่ใช่ของเรา ไม่มีเราในเวทนา  ทำจิตมองเวทนาไปตามที่หลวงตาเทศน์ คือ ร้อน หนาว ปวดตามตัว แล้วหลับไป กลางคืนมีเหงื่อออกพลั่กๆ   

     - รุ่งเช้าอาการทุกอย่างหายเป็นปลิดทิ้ง ประหนึ่งไม่เคยป่วยอะไรมาก่อน กลับมาทำงานได้ตามปกติ รู้ซึ้งถึงคำว่าเวทนาไม่เที่ยง เกิดดับตามกฎไตรลักษณ์แบบที่หลวงตาเทศน์ไว้

     “เข้าใจผู้ป่วยเลยว่าอาการมันหนักจริง ทรมานมากๆ เลยต้องมาหาหมอกันแต่จริงๆ มันทนได้นะ ถ้าเทียบกับต้องติดโควิดตาย ดังนั้นฉีดๆ ไปเถอะ ใช้มันทดสอบจิตใจ เพราะเวลาจะตาย เวทนาคงเยอะกว่านี้มากๆ ...”

     ขอให้ทุกคนโชคดี ปลอดภัยจากโควิดและผลข้างเคียงจากวัคซีนทุกคน เทอญ....สาธุ

คนไทยทำใจหนีไม่พ้น... ฉีดวัคซีนไขว้ “สลับยี่ห้อ” แน่

​​​​