ในยุคข้อมูลข่าวสารที่ท่วมหัวคนไทยจนหลายคนชักจะเอาตัวไม่รอด ผมอยากพาทุกคนมาประมวล วิเคราะห์ สังเคราะห์ข่าวเชิงนโยบายเรื่องหนึ่ง ที่กระทบกับชีวิตคนไทยทั้งประเทศ ที่กำลังตามหา “วัคซีน”
ฉากแรก....เกิดขึ้นจากการประชุมคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อแห่งชาติ ที่มี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุขและรองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เมื่อวันที่ 12 ก.ค.2564 ก่อนจะแถลงว่าคณะกรรมการมีมติให้ฉีดวัคซีนสลับไขว้คนละยี่ห้อ คนละสูตรกัน โดยให้ฉีด “วัคซีนซิโนแวค” เข็มแรก อีก 3 สัปดาห์ ให้ฉีด “วัคซีนแอสตราเซเนกา” เป็นเข็มที่ 2 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันในการสู้กับโรคโควิดสายพันธุ์เดลต้า
ต่อมาคณะกรรมการด้านวิชาการ ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 ครั้งที่ 23/2564 ที่มี ศ.นพ.สมหวัง ด่านชัยวิจิตร เป็นประธานคณะกรรมการ และกรรมการ 4 คน ประกอบด้วย 1. ศ.พญ.กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล 2.นพ.สุรัคเมธ มหาศิริมงคล ผู้อำนวยการสถาบันชีววิทยาศาสตร์ทางการแพทย์กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ 3. ศ.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม 4.นางเรนู มาดันลาล การ์ก ผู้แทนองค์การอนามัยโลก ประจำประเทศไทย ร่วมประชุม โดยมีมติสนับสนุนมติคณะกรรมการโรคติดต่อฯที่เห็นชอบการให้วัคซีนโควิด-19 สลับชนิด กรณีฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 เป็นซิโนแวค ตามด้วยแอส ตราเซเนกา เป็นเข็มที่ 2 ระยะห่าง 3-4 สัปดาห์
แนวทางนี้กำลังเป็น “ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์” ในประเทศไทยว่า จะเอาอย่างไรกันแน่
ฉากที่สอง.....เกิดขึ้นในวันรุ่งขึ้น 13 ก.ค.2564 ในที่ประชุมคณะรัฐนตรี (ครม.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยกเรื่องมาคุยกัน โดยนำคลิปวิดีโอของ Dr.Soumya Swaminathan หัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์ องค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ระบุว่า การผสมสูตรวัคซีนเป็นเทรนด์ที่อันตราย เพราะยังไม่มีข้อมูลผลกระทบด้านสุขภาพ มาเปิดให้ที่ประชุมได้รับชม
พล.อ.ประยุทธ์ ได้พูดถึงมติคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติที่ได้แถลงข่าวไปว่า จะให้ฉีดสลับยี่ห้อ จากซิโนแวคเข็ม 1 แล้ว เข็มที่ 2 ให้เป็นแอสตร้าเซนเนกา, ซิโนแวคเข็ม 1 และ 2 แล้ว ให้บูสเตอร์เข็ม 3 เป็น
แอสตร้าเซนเนกา โดยระบุว่า เรื่องดังกล่าวขอให้หมอเป็นผู้ตัดสินใจ และนำข้อมูลของ WHO มาประกอบการพิจารณาให้ถี่ถ้วน และดำเนินการให้รอบคอบ
ขณะที่ นายอนุทิน ชี้แจงว่า คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติเป็นผู้พิจารณาเรื่องนี้ ไม่ได้มีแค่หมอในกระทรวงสาธารณสุข แต่มีหมอจากหลายภาคส่วนอยู่ในนั้นด้วย
แสดงว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องนี้จึงยกปัญหาขึ้นมาหารือกันอย่างเคร่งเครียดร่วม 2 ชั่วโมง หลายคนบอกว่า ในทางการเมืองและการบริหารราชการแผ่นดินคือ เบรกการตัดสินใจฉีดวัคซีนแบบ “ไขว้สลับสูตร”
แต่ช้าแต่....วันรุ่งขึ้น 14 ก.ค.2564 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกรัฐบาล ออกมาให้ข่าวว่า “ขณะนี้สิ่งสำคัญคือเร่งฉีดวัคซีนให้ได้มากที่สุด เร็วที่สุด เพราะสายพันธุ์เดลตามีการระบาดที่รุนแรงและกำลังเป็นปัญหาทั่วโลกรวมทั้งไทย วัคซีนทุกชนิดสามารถลดความรุนแรงและลดความเสี่ยงเสียชีวิต ขณะที่การวิจัยในไทยก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางแก้ปัญหา ที่แสดงถึงความพยายามของคณะแพทย์ไทยที่ไม่หยุดคิด ไม่ยอมแพ้กับปัญหาและทำอย่างเป็นระบบ...
นายกรัฐมนตรี ไม่มีนโยบายระงับการใช้วัคซีนผสมสูตร/สลับสูตร แต่ขอให้ทุกฝ่ายรับฟังความเห็นของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เพื่อนำมาพิจารณาอย่างถี่ถ้วน”
ไม่ว่าการดำเนินการจะเป็นเช่นไร เรื่องการฉีดวัคซีนจะเป็นเดิมพันในชิตของคนไทย และหากมีความผิดพลาดเกิดขึ้นจากการสลับไขว้ สลับสูตร จะต้องมีผู้รับผิดชอบในการตัดสินใจในอนาคตแน่นอน...
หมอหลายคนบอกว่า แนวทางการสลับขั้ว สลับสูตรฉีดวัคซีนนั้นความจริงแล้ว มีการศึกษาทดลองอยู่แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนต้องใช้เวลาอีก 30-40 วัน แต่ฝ่ายการเมืองนำมาเป็นนโยบายเร็วไป จึงทำให้กลายเป็นวัคซีนการเมืองไปในที่สุด
ฉากที่สาม เกิดขึ้นในการประชุมคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ เมื่อวันที่ 14 ก.ค.2564 ที่ประชุมให้ความเห็นชอบ กรอบการจัดหาวัคซีนในปี 2564 จำนวน 117 ล้านโดส ด้วยการขยายระยะเวลาการส่งมอบวัคซีน
แอสตราซิเนกา จำนวน 61 ล้านโดสออกไปจากเดิมสิ้นเดือนธันวาคม 2564 ออกไปเป็น เดือนพฤษภาคม 2565 และเพิ่มจำนวนการจัดหาวัคซีนชิโนแวคจาก 19.5 ล้านโดส มาเป็น 21 ล้านโดส
มอบหมายให้สถาบันวัคซีนแห่ชาติไปออกประกาศเพื่อควบคุมการส่งออกวัคซีนที่ผลิตในประเทศให้จัดสรรไว้รองรับในประเทศในสัดส่วน 1 ใน 3 ของแต่ละช่วงเวลาการผลิต แสดงว่า การจัดหาวัคซีนมีปัญหาหนัก ปรากฎการณ์ไม่มาตามนัดเกิดขึ้นยาว....
เหตุการณ์ 3 ฉากที่เกิดขึ้น นับตั้งแต่วันจันท์ที่ 12 ก.ค.-14 ก.ค.2564 ล้วนแต่เกี่ยวพันเป็นเรื่องเดียวกัน ตอบโจทย์เรื่องเดียวกันคือ ประเทศไทยปัญหาการจัดหาวัคซีนและการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน และนั่นหมายถึงว่าการเดินหน้าฉีดสลับสูตรจะบังเกิดขึ้นแน่นอน...เชื่อหัวไอ้บากบั่นเถิดครับเจ้านาย...
ฉากที่สี่...ปัญหา “วัคซีนซิโนแวค” หลังจากฉีดสองเข็มจะเห็นภูมิคุ้มกันที่ยับยั้งไวรัสได้ที่ 30 วัน หลังจากฉีดเข็มที่สอง ในระยะแรก แต่หลังจากนั้นภูมิคุ้มกันในเลือดจะลดลงอย่างรวดเร็ว แม้ว่าในระยะแรกจะสูงถึง 90% ก็ตกลงมาเหลือ 30-40% จึงต้องบูสเตอร์เข็ม 3 เรื่องราวนี้เกิดขึ้นจากหมอเวชศาสตร์ฉุกเฉิน ที่ใช้ชื่อ “Apple Chai” โพสต์เฟสบุ๊กแชร์ประสบการณ์ฉีด Astrazeneca เข็มที่ 3 หลังฉีด Sinovac 2 เข็ม…
“สวัสดี เราคือแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน ผู้ทำงานใส่ท่อช่วยหายใจ และรับผู้ป่วยโรคโควิดนอนรอเตียงที่ห้องฉุกเฉิน เราได้รับวัคซีน sinovac 2 เข็มเมื่อ 16 เม.ย. และ 7 พ.ค. 2564 และทำงานใน ร.พ.ที่มีพยาบาลเสียชีวิตจากการติดโควิด 19 หลังฉีดวัคซีน sinovac 2 เข็มมาแล้ว จากข้อมูลการวิจัยที่พบว่าหลังจากฉีด sinovac ภูมิคุ้มกันจะตกลง 50% หลังฉีดไป 40 วัน และไม่สามารถป้องกันสายพันธุ์เดลต้าได้ ทาง รพ. จึงอนุมัติให้ฉีด astrazeneca เข็มที่ 3 เพื่อกระตุ้นภูมิต้านทาน จึงได้ไปฉีดมาเมื่อ 12 ก.ค. 64 ที่ผ่านมา อยากขอมาแชร์ประสบการณ์หลังฉีดเข็ม 3 ด้วย astrazeneca ดังนี้
- ฉีดวัคซีน astrazeneca เวลา16.30 น. ของวันที่ 12 ก.ค. 64
- หลังฉีด ปวดแขนบริเวณที่ฉีดนิดหน่อย และเริ่มง่วงๆ แบบคนกินยาลดน้ำมูก
- อาบน้ำเข้านอน กินยาพาราฯกับ dimenhydrinate ก่อนนอนเตรียมไว้
- ประมาณเที่ยงคืน ตื่นมากลางดึกด้วยอาการหนาวสั่น ดีที่เคยตรวจคนไข้ผลข้างเคียง astrazeneca ไว้เยอะมาก และน้องสาวเคยฉีดมาแล้วจึงบอกอาการคร่าวๆ ไว้ เลยไม่ค่อยตกใจเท่าไหร่ เตรียมใจมาแล้ว ขนาดเตรียมใจเจอเข้าจริงก็ยังหนาวมาก ขนาดใส่เสื้อกันหนาว ห่มผ้าไว้ ก็ยังสั่น หนาวแบบเหมือนอยู่ขั้วโลก นอนขด เสื้อกันหนาว ผ้าห่ม ไม่ช่วยอะไร ห่มไปก็สั่นอยู่ดี ประหนึ่งนอนกลางหิมะ...
- ตื่นมาตอนเช้า ทุกอาการมาหมด คลื่นไส้ ปวดตัว ปวดหลัง ปวดชายโครง กล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ย เพลียแรง ไม่มีแรงลุกจากเตียง ดีที่ซื้อโจ๊กเซเว่นแช่ในตู้เย็นไว้ เอามาเวฟกินประทังชีวิต
- ตอนสายๆ อาการดีขึ้นเพราะกินพาราดักไว้ทุก 4 ชม. คิดว่าไม่เป็นอะไรแล้ว
- ตอนบ่ายโมง อาการหนาวสั่นมันกลับมาอีก หนาวสั่นสะท้าน ประหนึ่งอยู่ขั้วโลก สั่นจากข้างใน กลับมานอนห่มผ้าเช่นเดิม
- ก่อนนอนคืนต่อมา ยังคงหนาว ปวดหัวและปวดตัว มีถ่ายเหลว 2 ครั้ง แล้วอดทนนอนหลับ นอนฟังธรรมหลวงตาสุริยา เรื่องเวทนาไม่ใช่ของเรา ไม่มีเราในเวทนา ทำจิตมองเวทนาไปตามที่หลวงตาเทศน์ คือ ร้อน หนาว ปวดตามตัว แล้วหลับไป กลางคืนมีเหงื่อออกพลั่กๆ
- รุ่งเช้าอาการทุกอย่างหายเป็นปลิดทิ้ง ประหนึ่งไม่เคยป่วยอะไรมาก่อน กลับมาทำงานได้ตามปกติ รู้ซึ้งถึงคำว่าเวทนาไม่เที่ยง เกิดดับตามกฎไตรลักษณ์แบบที่หลวงตาเทศน์ไว้
“เข้าใจผู้ป่วยเลยว่าอาการมันหนักจริง ทรมานมากๆ เลยต้องมาหาหมอกันแต่จริงๆ มันทนได้นะ ถ้าเทียบกับต้องติดโควิดตาย ดังนั้นฉีดๆ ไปเถอะ ใช้มันทดสอบจิตใจ เพราะเวลาจะตาย เวทนาคงเยอะกว่านี้มากๆ ...”
ขอให้ทุกคนโชคดี ปลอดภัยจากโควิดและผลข้างเคียงจากวัคซีนทุกคน เทอญ....สาธุ