ฌอง ฌากส์ รุสโซ คงจะภูมิใจในวาทะ “เราพบปะคนมากขึ้นเท่าไหร่ เรายิ่งรู้จักคนน้อยลงเท่านั้น? “ หากท่านรู้ว่า วาทะนี้กลายเป็นแสงส่องให้ กูรู เกิดความคิดหลากหลาย
อย่างเช่น เจอร์เมน เดอ สตาเอ เธอเท มีดโกน หันไปโหน อีโต้ ญาติของ ปังตอ คว้าเอามาล้อสังคมด้วยการคิดคำคม เอามาทาบกิ่งจนงอกออกมาเป็นคติพจน์เขย่าเส้นคดให้กลายเป็นเส้นตรงว่า “ฉันรู้จักคนมากขึ้นเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรักหมามากขึ้นเท่านั้น!” คติใหม่แปลกันให้ตายก็ไม่มีวันหมด จัดว่าไม่ธรรมดาจริงๆ (อัยยะ!)
ปล. ตั้งแต่ต้นรายการเลย คือ อยากจะบอกว่า “อัยยะ” แปลว่า “ผู้เป็นใหญ่” งง อะดิ๊ ง้ง…งง สารภาพตามตรง ว่า…งง ใช่เปล่า !” (ฮา)
เพื่อไม่ให้ เจอร์เมน เดอ สตาเอ เหงา ผมก็เอากับเขามั่ง จะได้มีสหายร่วมครรลอง ฌอง ฌากส์ รุสโซ ใจท่านจะพองโต เพราะอาจจะนึกไม่ถึงว่า คติพจน์ของท่านกลายเป็นสารตั้งต้นของสาระบันเทิงอย่างไม่น่าเชื่อ คิดเสียว่าแก้เบื่อก็แล้วกัน “ฉันเลี้ยงไก่เยอะขึ้นเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งสับสนทักษะไก่มากขึ้นเท่านั้น!” ใครรู้บ้างไหม ไก่แจ้ ไก่อู ไก่ตอน เขาขันออดอ้อนต่างกันอย่างไร
ไก่แจ้ ขันเสียงแหลมว่า “เอ๊ก อี เอ้ก เอ้ก”
ไก่อู ขันเสียงมีพลังว่า “โอ๊ก อี โอ้ก โอ้ก”
ไก่ตอน ขันเสียงรันทดว่า “อู่ ไอ เอ่าะ อ๊ก โอ้ก” เขารำพึงตัดพ้อว่า “อยู่ไปก็รกโลก”
“อั๋น อี ไอ้ อั๋น อั๊ก อี” หมายถึง “ขัณฑีไม่ขันสักที!” (ฮา)
ผู้ชายคนไหนอ่านมุกนี้แล้วไม่ขำ ขอบอกผู้หญิงว่า อย่าเลือกเอาไปทำผัว เป็นไปได้ว่า ต่อมฮาไม่ทำงาน สามีต้องเข้าใจว่าภรรยาเธอเหนื่อยเธอเครียดจากการแบกภาระจุกจิก ทั้งสองฝ่ายจึงไม่ควรแลกจิกให้หัวใจมันจุก
ผู้พิพากษาระดับโลกท่านหนึ่งเถียงกับพนักงานธุรการ อันเนื่องมาจากพนักงานธุรการเธอพิมพ์ตัวเลขลงในเอกสารตามรูปแบบหลักการสำแดงยอดเงิน คือ 9,87O,OOO เพื่อไม่ให้สับสนจนคำนวณผิดพลาด
เครื่องหมาย “,” เรียกว่า จุลภาค หรือ ลูกน้ำ ปรากฏว่า ผู้พิพากษาท่านนั้น สั่งให้พนักงานกลับไปพิมพ์มาใหม่แบบไม่ต้องใส่ เครื่องหมาย “,” พนักงานเรียนถามท่านว่า ทำไมเราถึงไม่ให้ใส่ เครื่องหมาย “,”
ท่านก็บอกพนักงานว่า “เธอควักธนบัตรออกมาดูสิ ตัวเลขในธนบัตรก็ไม่มี เครื่องหมาย “,” แล้วจะพิมพ์ ใส่ลงไปให้มันน่ารำคาญทำไม” กรณีนี้รู้ถึงหูผู้บริหารองค์การ จึงมีคำสั่งให้ดองตำแหน่งแช่แป้งเอาไว้แค่นั้น
ผมหันมาดูนิสัยผม วันที่พ่อผมจะสิ้นใจ ผมบอกกับพ่อว่า “พ่อไม่ต้องห่วงเมีย ผมดูแลเมียของพ่อเอง” (ฮา)
ว่างไม่ว่างก็ควรเจียดเวลาให้มันว่าง นั่งเล่ามุกให้ภรรยาฟัง…
สิงโตกำลังหิวจัดจึงไล่กวด นักวิทยาศาสตร์ และ นักปรัชญา นักวิทยาศาสตร์คำนวณฉับพลันแล้ว ท่านก็รีบชี้แนะว่า “การพยายามวิ่งให้เร็วอย่างที่คุณวิ่ง จะหนีทันเหรอ วิ่งซิกแซ็กดีกว่า มันกำลังจะตามทันแล้วนะ!" นักปรัชญายังคงวิ่งนำหน้าแล้วตะโกนบอกว่า “ผมไม่ได้วิ่งแข่งกับสิงโต ผมวิ่งให้เร็วกว่าคุณก็พอแล้ว!" (ฮา)
ว่างไม่ว่างก็ควรจัดคิวให้มันว่าง นั่งกินโปเต้เล่ามุกให้ลูกฟัง…
ครอบครัวหัวแหลมเขาชอบถามลองของกัน หลังกินมื้อค่ำเสร็จ พี่ชาย ลุกขึ้นถามทุกคนในห้องอาหารว่า “ใครรู้ตัวว่าโง่ โปรดลุกขึ้นยืนเดี๋ยวนี้เลย!" พ่อ แม่ และ น้อง มองหน้ากันเลิ่กลั่ก น้องหญิงมองซ้ายมองขวาไม่มีใครเคลื่อนไหว
เธอจึงลุกขึ้นยืน พี่ชาย ได้ทีเกทับว่า “แกสารภาพว่าโง่ใช่ป่ะ!" เธอก็บอกว่า “เปล่านะ ไม่ใช่สักหน่อย หนูแค่ลุกขึ้นยืนเป็นเพื่อนพี่ หนูแค่ไม่อยากให้พี่ยืนโง่อยู่คนเดียวต่างหาก!" (ฮา)
ว่างไม่ว่างก็ควรกัดฟันให้มันว่าง นั่งเล่ามุกให้ปู่กับย่าฟังมั่ง…
น้องสาว โทรไปหา พี่ชาย แล้วถามว่า “หนูป่วยคาเตียงมาสามวันแล้ว เสาร์อาทิตย์นี้แวะมาเยี่ยมหนูได้ไหมอ่ะ" พี่ชายก็บอกว่า “ไม่ต้องกังวล พี่คงจะไปสายนิดหน่อย เพราะว่า ฝนตก รถติด มันเป็นชีวิตปกติในฤดูฝน และเป็นวันศุกร์สุดสัปดาห์"
น้องสาว ยังตื๊อซักถาม พี่ชาย อีกว่า "พี่จะมาถึงที่นี่ในช่วงไหนอ่ะคะ?” พี่ชาย ตอบหน้าตาเฉยว่า “วันจันทร์!" (ฮา) รับประกันเลยว่า ปู่กับย่า ปู่ขำกลิ้ง ย่าคงจะเอามือตบหลังแถมสักหนึ่งป้าบแล้วแซวว่า “เอ็งกับพี่ชายที่เอ็งเล่า นิสัยเหมือนกันเปี๊ยบเลย!" (ฮา!)
เรียงมุกมาให้ดูก็คงจะรู้ทันทีว่า ครอบครัวที่ผาสุข นอกจากเราจะ มีบ้าน มีเงิน มีรถ มีของใช้ มีคนใช้ มันยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เราขาดไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว ยุค (Epoche) ไหน และ รุ่น (Gen) ไหน สิ่งที่ว่านั้น คือ “บรรยากาศ!"
ครอบครัวใดที่ปราศจาก “บรรยากาศ!" ฉันมิตร จิตครื้นเครง ไม่เบ่งทับถม ไม่อมเก้งเอ๋ง เดาได้เลยว่า บ้านหลังนั้นไม่ใช่ครอบครัว อย่างเก่งก็เป็นได้แค่ “หลังคาแดง!"