thansettakij
ขพุงผี : พระ-แม่-ย่า (2)

ขพุงผี : พระ-แม่-ย่า (2)

23 มี.ค. 2568 | 02:30 น.
อัปเดตล่าสุด :23 มี.ค. 2568 | 02:42 น.

ขพุงผี : พระ-แม่-ย่า (2) คอลัมน์ Cat out of the box โดย พีรภัทร์ เกียรติภิญโญ

KEY

POINTS

  • ประเพณีการลากพระ: การแห่พระลากพระ หรือชักพระ เป็นประเพณีที่มีความเชื่อว่า หากไม่มีการลากพระในปีนั้น ฝนจะไม่ตกตามฤดูกาล การร่วมแรงร่วมใจกันของชาวบ้านในการลากพระทั้งทางบกและทางน้ำช่วยสร้างความสามัคคีและส่งเสริมความเป็นมงคลให้กับชุมชน
  • พระแม่ย่าและความเชื่อในสุโขทัย: พระแม่ย่าเป็นพระเทวรูปที่ชาวสุโขทัยเคารพนับถืออย่างมาก เชื่อกันว่าหากแห่พระแม่ย่าในช่วงสงกรานต์จะทำให้ฝนตก และการทำบุญถวายของแก้บน เช่น ขนมหม้อแกงเป็นสิ่งที่ชาวบ้านทำเพื่อตอบแทนพระแม่ย่าในการให้ความอุดมสมบูรณ์

เรื่องประเพณีการลากพระ ซึ่งในภาคแรกได้กล่าวถึงไว้ว่าพระลาก (พระที่อัญเชิญมาเข้าพิธีลาก) นั้นท่านมีหลายองค์เลยที่มีคาแรกเตอร์เปนสตรีอย่างพระแม่ย่า จึงขอแทรกบันทึกภาพชีวิตอันสวยงามเรื่องงานลากพระไว้เปนเกียรติประวัติสืบไปภายหน้าสัก 2-3 ย่อหน้า ในที่นี้

การแห่พระ ลากพระ หรือชักพระ ไม่ว่าจะเรียกอย่างใดอย่างหนึ่งล้วนสื่อความหมายเดียวกันทั้งหมด คนสมัยก่อนมีความเชื่อว่าปีไหนไม่มีการลากพระ ปีนั้นฝนจะไม่ตกต้องตามฤดูกาล

การลากพระมีทั้งลากพระบก(คือลากทางบก) และลากพระน้ำ (ลากทางน้ำ) อีทีนี้ ก่อนจะมีการลากพระ 15 วัน ชาวบ้านจะชวนกันเข้าไปวัดเพื่อจัดตกแต่งนมพระ (ที่ใช้วางพระที่จะลาก) ให้สวยงาม โดยใช้ผลิตผลในท้องถิ่นที่มีอยู่ เช่น กล้วย อ้อย ทะลายจากดอกไม้หลากสี ฯลฯ การตกแต่งนมพระนี้ใช้เวลาหลายวัน มีการซักซ้อมตีเครื่องให้จังหวะอย่างกลอง ชาวบ้านก็ครึกครื้นสนุกสนานกันทั้งเด็กผู้ใหญ่ ชายหญิง เนื่องเพราะรู้ว่าการทำเช่นนี้เป็นบุญกุศล ทั้งยังช่วยให้ฝนตกต้องตามฤดูกาลอันเปนเรื่องมหามงคลในสังคมเกษตรกรรม ดังนั้นทุกคนจะเต็มใจไปทำกิจกรรมดังกล่าว

 

ขพุงผี : พระ-แม่-ย่า (2)

ในช่วงเช้าปวงเขาต่างสวมเสื้อผ้าใหม่เพื่อแสดงความสวยงามสดใสให้แก่กัน ทุกคนออกไปทำบุญพร้อมๆกันและจะร่วมกันตักบาตรเทโว ขนมต้ม ซึ่งพอตักบาตรเสร็จจะนำไปแขวนไว้ที่นมพระ และหาเชือกขนาดใหญ่ที่ทนทานมาเตรียมการชักลาก มีคนตีกลองและเคาะเครื่องทำจังหวะอื่นๆ ไปตลอดทาง เสียงดัง “ดัม ปิ้นๆ” ผู้คน ต้องใช้กำลังอย่างมาก ช่วยกันออกแรงดึงให้นมพระเคลื่อนที่ไปเพราะนมพระมีน้ำหนักมากและถนนหนทางก็ขรุขระ บางแห่งเป็นดินโคลนเป็นหลุมเป็นแอ่ง ยิ่งต้องเพิ่มกำลังลากให้มากขึ้นกว่าเดิม การลากพระสมัยก่อนจึงสนุกมากสภาพของคนลากจะมอมแมม เนื้อตัวเปรอะเปื้อน แต่ก็ไม่มีใครย่อท้อ นมพระสมัยก่อนไม่มีล้อเหมือนยุคหลังๆ จึงเคลื่อนที่ไปได้ด้วยพลังความสำมัคคีของชาวบ้าน

ขณะที่ลาก ก็จะป่าวร้องเป็นทำนองคล้องจองมีต้นเสียงว่านำและคนที่เหลือเป็นลูกคู่รับตามไปตลอดทาง เนื้อหาอาจแต่งเป็นการหยอกล้อของคนหนุ่มสาว เต็มไปด้วยความสนุกรื่นเริง วัดที่อยู่ใกล้ๆ แม่น้ำลำคลองจะลากพระกันทางน้ำ นมพระจะอยู่ในเรือ คนที่ลากพระจะนั่งอยู่ในเรือพาย โดยใช้สายเชือกผูกเรือต่อๆกันไป ส่วนเรือที่ไม่สามารถเข้ามาผูกเชือกได้ ก็จะพายเคียงไปกับเรือพระ มีแม่ค้าพ่อค้าพายเรือขายของ คนซื้อคนขายหยอกล้อสาดน้ำใส่กัน บ้างก็แกล้งแหย่กันโดยเหยียบแคมให้เรือจมแต่ไม่มีใครโกรธใคร การลากพระทางน้ำจึงสนุกสนานไม่แพ้การลากทางบก พอถึงเวลาค่ำหากบ้านใดต้องการจะร่วมบุญกับนมพระ ก็จะนำนมพระไปค้างคืนในบ้าน พวกทีมที่ลากนมพระมาจะพากันกลับบ้านตน ส่วนเจ้าของบ้านที่นมพระมาพักแรมคืนจะทำอาหารเลี้ยงผู้คน ถ้าหากนมพระนั้นมีพระภิกษุสงฆ์มาด้วย ท่านก็จะจำวัดที่บ้านนั้นหรือไม่ก็ที่วัดข้างเคียง

 

ขพุงผี : พระ-แม่-ย่า (2)

รุ่งเช้าจึงลากนมพระกลับวัด ตามปกตินมพระจะค้างคืนเพียงคืนเดียวฝนก็จะตกแล้ว ถ้าเกิดเหตุฝนยังไม่ตกก็จะต้องลากนมพระต่อและค้างคืนจนกว่าฝนจะตก ซึ่งเปนที่ชื่นใจแก่ชาวนาว่าจะได้ข้าวกล้าอุดมสมบูรณ์

การพักค้างคืนอีกรูปแบบหนึ่งของนมพระ คือระหว่างทางที่ชาวบ้านลากนมพระไป กลุ่มชาวบ้านย่านใดต้องการจะนำพระมาค้างคืนในกลุ่มบ้านของตน ก็จะเข้ามาแย่งเชือก ถ้าแย่งไม่ได้กี่จะเอาเชือกที่ตนนำมาไปผูกกับนมพระอีกด้านหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างออกแรงดึงนมพระเพื่อให้ได้ข้างตนระหว่างที่แย่งเชือกกัน เปนที่สนุกสนาน คนที่ตีเครื่องให้จังหวะบนนมพระ ก็จะตีจังหวะเร่งเร้า กดคันเร่งความบันเทิงให้เพิ่มขึ้นอีก

น่าสังเกตว่า การแก่งแย่งทำบุญชนิดนี้ ไม่มีการขัดแย้งชกต่อยตบตีกัน เพราะต่างยึดถือเป็นกติกางานบุญที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาช้านาน ถ้ามีคนเมาสุรา เกรงว่าเมื่อขาดสติสัมปะชัญญะจะทำให้มีเรื่องมีราว ก็จะมีคนพาออกไปจากวงก่อน

การลากพระในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาให้นมพระมีล้อเลื่อน เวลาลากพระไม่ต้องออกแรงดึงมาก ถนนหนทางกรมทางทำไว้ดีไม่มีหลุม ไม่มีแอ่ง ไม่เป็นดินโคลน ความสามัคคีของชาวบ้านต่อการร่วมกันลากนมพระยังมีอยู่แต่ก็ไม่ถึงใจเหมือนในอดีต

 

ขพุงผี : พระ-แม่-ย่า (2)

 

เสียง “ตุ้ม ปิ้น ๆ” จากนมพระ ณ วันนี้ จึงเปรียบเสมือนเสียงเรียกให้ผู้คนออกมาร่วมแรงร่วมใจกัน แสดงพลังความสามัคดีของคนในหมู่บ้านให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของผู้คนที่พบเห็น นอกจากบุญกุศลที่ได้รับแล้วยังเป็นแรงแห่งการสืบสานประเพณีให้ดำรงอยู่ต่อไปอีกด้วย

กลับมาที่กรณีของพระแม่ย่า ท่านที่เก่าแก่โบราณกาลและเปนที่นับถือกันมาก ต้องยกให้พระแม่ย่าหินจำหลักที่เมืองสุโขทัย ตามบันทึกในหลักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง (ยูเนสโกประกาศให้เป็นมรดกโลก ประเภทบันทึกความทรงจำ) นั้น อาณาจักรสุโขทัยมีความเจริญรุ่งเรืองมาก

“..เบื้องหัวนอนเมืองสุโขทัยนี้มีกุฎี พิหาร ปู่ครู มีสรีดภงส์ มีป่าพร้าว มีป่าลาน มีป่าขาม มีน้ำโคก มีพระขพุงผี เทพดาในเขาอนนนั้นเป็นใหญ่กว่าผีทุกผีในเมืองนี้ ชนผู้ใดถือเมืองสุโขไทนี้แล้ ไหว้ดีพลีถูก เมืองนี้เที่ยง เมืองนี้ดี ผิไหว้บ่ดี พลีบ่ถูก ผีในเขาอนนบ่คุ้มเกรงเมืองนี้หาย...”

อันคำว่าผีนี้ ในสมัยโบราณใช้ปะปนกันกับคำว่าเทวดา ซึ่งในบางสังคมเช่นพวกไทยใหญ่ปัจจุบันนี้พุทธศักราช 2568 แล้วก็ยังเรียกเทวดาว่าผีอยู่ ส่วน ขพุง/ขะพุง หากตีความโดยเก็บความจากหนังสือเบ้งเฮ้กสำนวนหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็จะเปนคำเรียกหัวหน้า ย่อมแปลได้ว่าหัวหน้าหรือผู้เป็นใหญ่ พระขพุงผี ในที่นี้จึงย่อมหมายความถึงเทวดาผู้ใหญ่

 

ขพุงผี : พระ-แม่-ย่า (2)

 

ในยุคร้อยกว่าปีก่อนนั้น สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงออกค้นหา “พระขพุงผีเทวดา” ตามที่ศิลาจารึกบอกไว้ ที่บริเวณทิศเบื้องหัวนอนเมืองสุโขทัย ทรงคาดหมายว่าน่าจะสร้างขึ้นไว้เป็นองค์เทวรูปตั้งประดิษฐานไว้มากกว่าที่จะมีเพียงแต่ชื่อ และแล้วก็ทรงพบ องค์เทวรูปผู้หญิงสลักด้วยแท่งศิลาหินชนวนอยู่ในถ้ำเพิงผาที่ภูเขาแห่งหนึ่งห่างจากเมืองสุโขทัยเก่าไปทางทิศใต้ราว 7 กิโลเมตร (นาเชิงคีรี) เป็นรูปสตรีผอมสูง ใบหน้ายาวคล้ายพระพักตร์พระพุทธรูปแบบสุโขทัย ผมมุ่นมวยสูง ๔ ชั้น ใส่ต่างหูยาว ใส่เฉพาะสังวาลย์ไม่สวมเสื้อหรือสไบ เปลือยส่วนบนเปนพระถันทั้งสองเต้า สวมผ้านุ่งแบบชายไหว ชายแครงเป็นเชิงชั้นทั้งสองข้างแบบศิลปะการนุ่งผ้าสตรีสมัยนั้นใส่กำไลแขน กำไลข้อมือ และกำไลข้อเท้า สวมชฎาทรงสูง สวมฉลองพระบาทปลายงอน เรียบง่ายงดงามตามยุคสมัยจึงมีพระวินิจฉัยว่า เทวรูปหินนี่ท่าจะใช่แล้วซึ่ง “พระขพุงผี” ผู้รักษาเมืองสุโขทัยตามศิลาจารึกด้วยว่าเทวรูปอื่นในเทือกเขาหลวงนี้ไม่มีที่ไหนอีกแล้ว และพระเทวรูปนี้ชาวบ้านแถบนั้นต่าง พากันเคารพนับถืออย่างยิ่ง

ชาวบ้านมีความเชื่อว่าเทวรูปพระแม่ย่าองค์นี้คือ “พระนางเสือง” พระมารดาของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช เเละเรียกนามท่านว่า พระ-แม่-ย่า เพราะท่านเปนพระมารดาของพ่อขุนของตนนั่นเอง

สมเด็จกรมพระยาดำรงทรงห่วงว่า ถ้าปล่อยให้องค์เทวรูปตั้งอยู่ในป่าอย่างนี้ต่อไป อาจสูญหายหรือถูกทำลายให้ชำรุดพังลงได้ ควรอัญเชิญไปเก็บรักษาไว้ที่ในตัวเมือง พระยารามราชภักดี เจ้าเมืองสมัยนั้น จึงอัญเชิญมาไว้ เก็บรักษาในศาลากลางจังหวัดสุโขทัย จนถึงยุคหนึ่งจังหวัดสุโขทัยถูกยุบรวมไปขึ้นกับจังหวัดสวรรคโลก จึงย้ายท่านไปประดิษฐานในศาลากลางสวรรคโลกระยะหนึ่ง จนภายหลังสวรรคโลกยุบกลายเปนอำเภอก็อัญเชิญกลับจังหวัดสุโขทัยตามเดิม

ทีนี้ว่าชาวบ้านสุโขทัยก็มีประเพณีแห่พระแม่ย่าเช่นกัน โดยจะแห่ในวันมหาสงกรานต์ ถือกันว่าทำให้ฝนตก ซึ่งปรากฏว่ามีฝนตกใหญ่ทุกครั้งที่นำเทวรูปองรูปองค์จริงออกแห่ให้ประชาชนสรงน้ำเป็นที่น่าอัศจรรรย์

จนยุคนายเชื่อม ศิริสนธิ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัยสมัยนั้น เกรงว่าหากเชิญองค์จริงออกแห่พระแม่ย่าอาจจะแตกหักเสียหายลงได้ จึงได้สร้างเทวาลัยเป็นที่ประดิษฐานอยู่ริมฝั่งแม่น้ำยมฝั่งตะวันออก ตรงหน้าศาลากลางจังหวัดสุโขทัย เรียกว่า “ศาลพระแม่ย่า” ท่านได้ประดิษฐานอยู่ในเทวาลัย แห่งนี้ตั้งแต่ปีนั้น เรื่อยมา และจังหวัดได้ทำรูปจำลองของท่านเพิ่มเติมไว้สำหรับเชิญออกแห่ โดยพิธีแห่นั้นทางเทศบาลเป็นเจ้าภาพ

 

ขพุงผี : พระ-แม่-ย่า (2)

 

ส่วนคำว่าส่วนคำว่าสรีดภงส์ที่ปรากฏในหลักศิลาจารึกนั้นท่านผู้รู้ ขยายความว่า

‘เมืองสุโขทัย เป็นเมืองที่อิงภูเขา ตั้งอยู่ด้านหน้าของเขาหลวงที่มีเชิงเขาและที่ลาดลงสู่พื้นที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึงทางฝั่งตะวันตกสู่ลำน้ำยม โดยมีการรับน้ำจากป่าเขามาใช้เพื่อการอุปโภคบริโภค รวมถึงการทำการเกษตรและลำเหมือง นำน้ำผ่านกลุ่มวัดอรัญญิก ผ่านกำแพงเมืองเข้ามากักไว้ตามตระพังใหญ่ในเมืองและบริเวณโดยรอบ ระบบการชลประทานที่นำน้ำจากบนเขาเข้ามาใช้ในเมืองนี้จะเห็นเป็นร่องรอยของทำนบเป็นคันดินใหญ่ ในจารึกเรียกว่า สรีดภงส์ และคันดินเล็กใหญ่อีกเป็นจำนวนมาก รวมทั้งที่เรียกกันว่า “ถนนพระร่วง” ที่เป็นแนวทำนบโบราณและเป็นคันดินที่ใช้เป็นทางคมนาคมเป็นช่วงๆ ได้ด้วย’

ส่วนในด้านการศาสนานั้น สังคมสุโขทัยมีการนับถือทั้งศาสนาพุทธนิกายมหายานและเถรวาท ศาสนาพราหมณ์ฮินดู พร้อมกับการนับถือผี เมื่อสุโขทัยรับพุทธศาสนาลังกาวงศ์โดยกษัตริย์เป็นองค์ศาสนูปถัมภก ทำให้พุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์รุ่งเรืองในสุโขทัยอย่างมาก ขนบประเพณีทางพุทธศาสนาที่สำคัญอย่างเช่น การบวช การนับถือพระบรมธาตุ การไหว้บูชาพระพุทธรูป แต่ก็ยังนับถือบรรพบุรุษโดยเฉพาะผีบรรพบุรุษ

เช้านี้หยุดพักที่สุโขทัย แวะแสดงความเคารพกราบไหว้พระแม่ย่าเทวดาผู้ใหญ่ริมน้ำยม ยกบายศรีปากชามคู่ถวายท่านพร้อมบริวารผ้านุ่งห่ม หมากพลู ปล่อยปลา_เต่า_หอย ลงน้ำยมหน้าศาลถวายเปนกุศลแด่ท่านในฐานะ พระขพุงผี เทวดาผู้ใหญ่ในอาณาจักรสุโขทัย แล้วมุ่งหน้าออกไปทุ่งเสลี่ยม (เสลี่ยม คือ สะเลียม = สะเดา) ผ่านทางสวรรคโลก เลยต้องแวะรับประทานของดีของเขารองท้องนั่นก็คือไก่อบมาการีนของโกเจ็งนั่นเอง พื้นที่หมดพอดีต้องยกให้คอลัมน์อิ่ม_โอชาฯ ข้างๆนี้เขาบรรยายนำเสนออีกทีหนึ่ง

อนึ่งว่าชาวบ้านสุโขทัยนับถือกันว่าของแก้บนของพระแม่ย่านั้นคือขนมหม้อแกง ส่วนในยุคปัจจุบันนี้ผู้คนที่มากราบไหว้พระแม่ย่ามักตั้งข้ออธิษฐานกันเรื่องขอเบิกเอาบริวารเก่าแก่ที่เคยมีในภพชาติต่างๆมาช่วงใช้ให้บังเกิดผลในชาตินี้ ท่านที่มีปัญหาเรื่องบริวารก็น่าจะแวะมาเที่ยว เมืองสุโขทัย กราบไหว้พระแม่ย่า กันสักครั้ง