บทเรียนวิกฤตการณ์ค่าเงินบาทปี 2540: การเตรียมความพร้อม และโอกาสในอนาคต

01 ก.ค. 2567 | 23:01 น.
อัปเดตล่าสุด :02 ก.ค. 2567 | 00:20 น.

บทเรียนวิกฤตการณ์ค่าเงินบาทปี 2540: การเตรียมความพร้อม และโอกาสในอนาคต คอลัมน์ เศรษฐศาสตร์ นอกขนบ โดย สุวิทย์ สรรพวิทยศิริ “มูลนิธิ สวค.”

วิกฤตการณ์ค่าเงินบาทปี 2540 หรือที่เรียกว่า "วิกฤตต้มยำกุ้ง" เป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สาเหตุหลักมาจากการคาดการณ์ผิดพลาดเกี่ยวกับความสามารถในการรับมือกับความผันผวนทางการเงิน การขาดการควบคุมการใช้หนี้ต่างประเทศ และการจัดการอัตราแลกเปลี่ยนที่ไม่เหมาะสม ในช่วงเวลาดังกล่าว

ก่อนวิกฤตการณ์ เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษ 1980 และ 1990 โดยมีการลงทุนจากต่างประเทศอย่างมาก และการขยายตัวของภาคการผลิตและบริการ อย่างไรก็ตาม การเติบโตนี้ก่อให้เกิดการกู้ยืมจากต่างประเทศจำนวนมาก โดยเฉพาะหนี้สินในรูปของเงินตราต่างประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ ขณะเกิดวิกฤตการณ์ในปี 2540 ค่าเงินบาทถูกโจมตีจากการเก็งกำไร เนื่องจากนักลงทุนสูญเสียความเชื่อมั่นในความสามารถของรัฐบาลไทยในการรักษาอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ การลดค่าเงินบาทในวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ทำให้หนี้สินในรูปของเงินตราต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ธนาคารและบริษัทต่างๆ ประสบปัญหาทางการเงินอย่างรุนแรง หลังวิกฤตการณ์ รัฐบาลไทยและธนาคารแห่งประเทศไทยได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ และดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงระบบการเงินและการธนาคารเพื่อให้มีความเสถียรภาพและความโปร่งใสมากขึ้น

ในปัจจุบันผ่านมา 27 ปี เศรษฐกิจไทยมีการพัฒนาในหลายด้าน เช่น การขยายตัวของภาคการผลิตและการบริการ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และการพัฒนาภาคการเงิน อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้จากความผันผวนทางเศรษฐกิจโลกและปัจจัยภายในประเทศ เช่น หนี้สินของครัวเรือนและภาคธุรกิจ การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ช้าลงเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี เพียงร้อยละ 1.9 ต่อปี การผ่านวิกฤตการณ์โควิด-19 มาแบบทุลักทุเล ด้วยต้นทุนสูงคือ หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 63 ของ GDP อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับตัวสูงขึ้น จากผลของอัตราเงินเฟ้อและราคาน้ำมันจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ในขณะภาพระยะยาว สังคมผู้สูงอายุและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยตกต่ำ กดดันภาพการลงทุนในตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตร และภาคการลงทุนที่แท้จริง ทำให้ภูมิต้านทานของเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ความเปราะบาง ท่ามกลางการเติบโตของเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่ทั้ง จีน เวียดนาม อินโดนีเซีย อินเดีย ประเทศไทยไม่มีเสน่ห์และเต็มไปด้วยปัญหาเรื้อรัง

ที่มา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (2567)

ที่มา สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ (2567)

ที่มา ธนาคารแห่งประเทศไทย (2567)

ที่มา ธนาคารแห่งประเทศไทย (2567)

  1. การเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP Growth): เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2533-2539 แต่เริ่มชะลอตัวในช่วงปี 2540-2541 เนื่องจากวิกฤตการณ์ค่าเงินบาท หลังจากนั้น เศรษฐกิจกลับมาเติบโตอีกครั้งในช่วงต้นทศวรรษ 2000 และมีการชะลอตัวเล็กน้อยในช่วงปี 2551 เนื่องจากวิกฤตการณ์การเงินโลก และใน 10 ปีล่าสุดเศรษฐกิจขยายตัวเฉลี่ยเพียงร้อยละ 1.9 ต่อปีเท่านั้น
  2. หนี้สาธารณะ (% ของ GDP): หนี้สาธารณะของไทยเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงปี 2539-2541 เนื่องจากการใช้หนี้เพื่อประกันการล้มละลายของภาคเอกชน หลังจากนั้น หนี้สาธารณะค่อยๆ ลดลงเนื่องจากการดำเนินนโยบายการคลังที่เข้มงวด และการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่สอดคล้องกัน ทำให้ GDP ขยายตัวสูง จนสามารถทำงบประมาณแบบสมดุลได้ในปี 2548 อย่างไรก็ตามการเกิดโควิด-19 ในปี 2563 ทำให้รัฐบาลต้องกู้เงินกว่า 1.5 ล้านล้านบาท จนต้องขายเพดานหนี้สาธารณะจากร้อยละ 60 เป็นร้อยละ 70
  3. หนี้ครัวเรือน (% ของ GDP): หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงก่อนวิกฤตการณ์ปี 2540 แต่หลังจากนั้นลดลงเนื่องจากการลดหนี้สินและการปรับโครงสร้างหนี้ หลังจากปี 2543 หนี้สินของภาคเอกชนเริ่มเพิ่มขึ้นอีกครั้ง และเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งขึ้น ตามการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่ำลง
  4. การสำรองเงินตราต่างประเทศ (Billion USD): การสำรองเงินตราต่างประเทศของประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2533 โดยมีการลดลงอย่างมากในช่วงวิกฤตการณ์ปี 2540 จนต้องกู้เงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ภายหลังที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลต่อเนื่อง กอปรกับนักท่องเที่ยวจีนที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2558 หลังจากนั้นมีการสำรองเงินตราต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจนถึงปัจจุบัน

เราสามารถสรุปได้ว่าประเทศไทยได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญจากวิกฤตการณ์ค่าเงินบาทปี 2540 และได้ดำเนินนโยบายที่เหมาะสมเพื่อป้องกันวิกฤตการณ์ทางการเงินในอนาคต การสำรองเงินตราต่างประเทศในระดับสูง การจัดการหนี้สาธารณะอย่างรอบคอบ และการติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดเป็นปัจจัยที่สำคัญในการรักษาเสถียรภาพทางการเงินและป้องกันวิกฤตการณ์เช่นเดิม อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงที่ต้องระวัง เช่น ความผันผวนทางเศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนแปลงของนโยบายการเงินในประเทศสำคัญ และปัจจัยภายในประเทศ เช่น หนี้สินของครัวเรือนและภาคธุรกิจ การเตรียมความพร้อมและการดำเนินนโยบายที่เหมาะสมยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตการณ์ในอนาคต 

ความพร้อมในการรับมือ ปัจจุบันรัฐบาลไทยมีการเตรียมความพร้อมในการรับมือกับวิกฤตการณ์ทางการเงินอย่างมาก มีการจัดการหนี้สาธารณะอย่างรอบคอบ และมีการสำรองเงินตราต่างประเทศในระดับสูง นอกจากนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยยังมีนโยบายการเงินที่มีความยืดหยุ่นและทันต่อสถานการณ์ โอกาสในอนาคต แม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะมีความเสี่ยงจากปัจจัยภายในและภายนอก แต่ด้วยการเตรียมความพร้อมและการดำเนินนโยบายที่เหมาะสม โอกาสในการเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินในระดับที่รุนแรงเช่นปี 2540 นั้นมีแนวโน้มลดลง อย่างไรก็ตาม การรักษาความเสถียรภาพทางการเงินและการติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็น จากวิกฤตการณ์ค่าเงินบาทปี 2540 เป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยเรียนรู้ถึงความสำคัญของการจัดการหนี้สินและการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน แม้ว่าในปัจจุบันเศรษฐกิจไทยจะมีความพร้อมมากขึ้นในการรับมือกับวิกฤตการณ์ แต่การเตรียมความพร้อมและการติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตการณ์เช่นเดิมอีกในอนาคต ปัญหาของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันไม่อยู่ที่เสถียรภาพแต่เป็นเรื่องของความสามารถในการแข่งขัน นั่นหมายถึง การมีกฎระเบียบที่ล้าหลังทำให้ผลิตภาพถดถอย (total factor productivity: TFP) การช้าลงของผลิตภาพแรงงาน (labor productivity) การดูดซับและใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีน้อย (capital productivity) เนื่องจากอุตสาหกรรมเก่าการพัฒนาคนไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี โดยเฉพาะการปรับตัวเขาสู่ยุค AI หรือ AI adoption