วิกฤตการณ์ค่าเงินบาทปี 2540 หรือที่เรียกว่า "วิกฤตต้มยำกุ้ง" เป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สาเหตุหลักมาจากการคาดการณ์ผิดพลาดเกี่ยวกับความสามารถในการรับมือกับความผันผวนทางการเงิน การขาดการควบคุมการใช้หนี้ต่างประเทศ และการจัดการอัตราแลกเปลี่ยนที่ไม่เหมาะสม ในช่วงเวลาดังกล่าว
ก่อนวิกฤตการณ์ เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษ 1980 และ 1990 โดยมีการลงทุนจากต่างประเทศอย่างมาก และการขยายตัวของภาคการผลิตและบริการ อย่างไรก็ตาม การเติบโตนี้ก่อให้เกิดการกู้ยืมจากต่างประเทศจำนวนมาก โดยเฉพาะหนี้สินในรูปของเงินตราต่างประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ ขณะเกิดวิกฤตการณ์ในปี 2540 ค่าเงินบาทถูกโจมตีจากการเก็งกำไร เนื่องจากนักลงทุนสูญเสียความเชื่อมั่นในความสามารถของรัฐบาลไทยในการรักษาอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ การลดค่าเงินบาทในวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ทำให้หนี้สินในรูปของเงินตราต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ธนาคารและบริษัทต่างๆ ประสบปัญหาทางการเงินอย่างรุนแรง หลังวิกฤตการณ์ รัฐบาลไทยและธนาคารแห่งประเทศไทยได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ และดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงระบบการเงินและการธนาคารเพื่อให้มีความเสถียรภาพและความโปร่งใสมากขึ้น
ในปัจจุบันผ่านมา 27 ปี เศรษฐกิจไทยมีการพัฒนาในหลายด้าน เช่น การขยายตัวของภาคการผลิตและการบริการ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และการพัฒนาภาคการเงิน อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้จากความผันผวนทางเศรษฐกิจโลกและปัจจัยภายในประเทศ เช่น หนี้สินของครัวเรือนและภาคธุรกิจ การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ช้าลงเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี เพียงร้อยละ 1.9 ต่อปี การผ่านวิกฤตการณ์โควิด-19 มาแบบทุลักทุเล ด้วยต้นทุนสูงคือ หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 63 ของ GDP อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับตัวสูงขึ้น จากผลของอัตราเงินเฟ้อและราคาน้ำมันจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ในขณะภาพระยะยาว สังคมผู้สูงอายุและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยตกต่ำ กดดันภาพการลงทุนในตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตร และภาคการลงทุนที่แท้จริง ทำให้ภูมิต้านทานของเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ความเปราะบาง ท่ามกลางการเติบโตของเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่ทั้ง จีน เวียดนาม อินโดนีเซีย อินเดีย ประเทศไทยไม่มีเสน่ห์และเต็มไปด้วยปัญหาเรื้อรัง
เราสามารถสรุปได้ว่าประเทศไทยได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญจากวิกฤตการณ์ค่าเงินบาทปี 2540 และได้ดำเนินนโยบายที่เหมาะสมเพื่อป้องกันวิกฤตการณ์ทางการเงินในอนาคต การสำรองเงินตราต่างประเทศในระดับสูง การจัดการหนี้สาธารณะอย่างรอบคอบ และการติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดเป็นปัจจัยที่สำคัญในการรักษาเสถียรภาพทางการเงินและป้องกันวิกฤตการณ์เช่นเดิม อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงที่ต้องระวัง เช่น ความผันผวนทางเศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนแปลงของนโยบายการเงินในประเทศสำคัญ และปัจจัยภายในประเทศ เช่น หนี้สินของครัวเรือนและภาคธุรกิจ การเตรียมความพร้อมและการดำเนินนโยบายที่เหมาะสมยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตการณ์ในอนาคต
ความพร้อมในการรับมือ ปัจจุบันรัฐบาลไทยมีการเตรียมความพร้อมในการรับมือกับวิกฤตการณ์ทางการเงินอย่างมาก มีการจัดการหนี้สาธารณะอย่างรอบคอบ และมีการสำรองเงินตราต่างประเทศในระดับสูง นอกจากนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยยังมีนโยบายการเงินที่มีความยืดหยุ่นและทันต่อสถานการณ์ โอกาสในอนาคต แม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะมีความเสี่ยงจากปัจจัยภายในและภายนอก แต่ด้วยการเตรียมความพร้อมและการดำเนินนโยบายที่เหมาะสม โอกาสในการเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินในระดับที่รุนแรงเช่นปี 2540 นั้นมีแนวโน้มลดลง อย่างไรก็ตาม การรักษาความเสถียรภาพทางการเงินและการติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็น จากวิกฤตการณ์ค่าเงินบาทปี 2540 เป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยเรียนรู้ถึงความสำคัญของการจัดการหนี้สินและการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน แม้ว่าในปัจจุบันเศรษฐกิจไทยจะมีความพร้อมมากขึ้นในการรับมือกับวิกฤตการณ์ แต่การเตรียมความพร้อมและการติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตการณ์เช่นเดิมอีกในอนาคต ปัญหาของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันไม่อยู่ที่เสถียรภาพแต่เป็นเรื่องของความสามารถในการแข่งขัน นั่นหมายถึง การมีกฎระเบียบที่ล้าหลังทำให้ผลิตภาพถดถอย (total factor productivity: TFP) การช้าลงของผลิตภาพแรงงาน (labor productivity) การดูดซับและใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีน้อย (capital productivity) เนื่องจากอุตสาหกรรมเก่าการพัฒนาคนไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี โดยเฉพาะการปรับตัวเขาสู่ยุค AI หรือ AI adoption