สมเด็จพระวันรัต​ (ทับ)​ เจ้าอาวาส​องค์ปฐม​ แห่งวัดโสมนัสวิหาร​ บวชถึง​ 7​ ครั้ง

01 ก.พ. 2567 | 21:30 น.
อัปเดตล่าสุด :08 ก.พ. 2567 | 17:09 น.

สมเด็จพระวันรัต​ (ทับ)​ เจ้าอาวาส​องค์ปฐม​ แห่งวัดโสมนัสวิหาร​ บวชถึง​ 7​ ครั้ง คอลัมน์ สังฆานุสติ โดย บาสก

ตามที่ผมเล่าเรื่องวัดโสมนัสวิหาร​ ไปก่อนหน้า​ ว่า​ เจ้าอาวาสองค์​ปฐม​ ของวัดโสมนัสวิหาร​ ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่​หัว​ ทรงสถาปนา​ขึ้น​เพื่ออุทิศ​แด่สมเด็จ​พระนางเจ้าโสมนัสพัฒนาวดี​ พระอัครมเหสี​ ได้แก่​ พระอริยมุนี​ (​ทับ) หรือสมเด็จพระวันรัต​​นั้น 
  
เมื่อศึกษา​ประวัติเจ้าพระคุณ​สมเด็จ​องค์​นี้​ พบเรื่องมหัศจรรย์​หลายเรื่อง​ ที่ควรนำมาเล่า​ ได้แก่การเคร่งครัดในพระวินัย​ ถึงกับอุปสมบท​ถึง​ 7​ ครั้ง​ เพื่อให้หายสงสัยว่า​ ได้รับการอุปสมบทในเขตทีมีสีมาสมบูรณ์​ คือต้องอุปสมบทในสีมาน้ำ​ หรืออุทุกเขปสีมา​ และออกเสียงสวดแบบรามัญให้ถูกเป็นต้น
 
การจะมีสีมาแบบนี้​ ต้องมีแพหน้าวัด แล้วพระสงฆ์​ สวดสมมติสีมาขึ้น
 
ต่อมาเรียกกันว่าโบสถ์แพ​ ปัจจุบัน​ มีหลังหนึ่งเก็บรักษา​ไว้ในฐานะโบราณ​สถาน​ ที่วัดราชาธิวาส​ แขวงสามเสน​ กทม.

เรื่องบวช​ 7​ ครั้ง​นี้ อุบัติขึ้น​ในสมัยรัชกาลที่​ ​3​ เมื่อพระวชิรญาโณ​ หรือสมเด็จ​เจ้าฟ้ามงกุฎ​ ผนวชและทรงจำพรรษา​ที่วัดมหาธาตุ​ ทรงพบและศรัทธา​พระรามัญ​ จึงศึกษาอุปสมบทวิธีและการออกเสียงสวดอักขรวิธีแบบมอญ
 
ในขณะที่​พระภิกษุ​ทับ​ ขณะที่เป็นสามเณรอยู่วัดราชโอรสาราม​ เคยเฝ้าเจ้าฟ้ามงกุฎ​ (ยังไม่ได้ผนวช) ​ที่เสด็จไปทรงพระอักษรที่วัดราชโอรส​าราม และต่อมาเมื่ออุปสมบทได้เข้าถวายตัวเพื่อศึกษากับพระวชิรญาโณ​ เจ้าฟ้ามงกุฎ​ (พระวชิรญาโณ​ พระชนมายุมากกว่าพระภิกษุ​ ทับ​ 2​ ปี)ที่วัดมหาธาตุ​

จนถึง​ พ.ศ.2379 พระภิกษุ​ทับ​ สามารถสอบได้เป็นเปรียญ​ 7​ ประโยค​เมื่อ​ อายุ​ 31​ ปีพรรษา​ 11​ ถัดมาอีก​ 2​ ​ปีสอบได้อีก ​2​ ประโยค​ จึงเป็นเปรียญ​ 9​ ประโยค​ ในสมัยรัชกาลที่​ 3​ นั้น
สมเด็จพระ​มหา​วีร​วงศ์​ (ยัง)​ เจ้าอาวาสวัดโสมนัสวิหารรูปที่​ 3​ และสัทธิวิหาริกใน​ สมเด็จพระวันรัต​ (ทับ)​ เล่าเรื่องการบวช​ 7​ ครั้ง​ ของสมเด็จอาจารย์​ว่า​ 

การบวชครั้งที่​ 1

ก่อนอายุครบบวชนั้น​ สมเด็จพระวันรัต​ (ทับ​) ​บรรพชาเป็นสามเณร​ ศึกษาอักษรสมัยที่วัดราชโอรส​ เมื่ออายุครบบวช​ ได้มาบวชที่วัดเทวราชกุญชร​ ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน​ ตามความปรารถนาของโยมบิดา​ มารดา โดยมีพระธรรมวิโรจน์​ วัดราชาธิวาส​ เป็นพระอุปัชฌาย์ อุปสมบทแล้วไปอยู่กับอุปัชฌาย์​ที่วัดราชาธิ​วาส

บวชครั้งที่​ 2

ขณะจำพรรษาที่​วัดราชาธิ​วาส​ ได้เฝ้าพระวชิรญาโณ​ (ร.4)​ ที่เสด็จมาทำอุโบสถเนืองๆ​ ต่อมาขอให้พระธรรม​วิ​โรจน์​ นำไปถวายตัว​ กับพระวชิร​ญาโณ​ พระองค์ท่านรับและพำนักที่วัดมหาธาตุ​
ที่นั่นได้ เรียนหนังสือกับพระวชิรญาโณ​ (ร.4)​ รวมทั้งเรียนวิธีอุปสมบทแบบรามัญ​ จนเกิดความเลื่อมใส​ จึงขออุปสมบทใหม่ตามวิธีรามัญ​ ครั้งนี้ได้รับฉายาว่า​ พุทธสิริ

บวชครั้งที่​ 3

เมื่อบวชแบบรามัญแล้ว​ พระวชิรญาโณ​(ร.4)​ ทรงปรารภว่า​ ตัวพระองค์​ท่านเป็นคนไทย​ ออกเสียงรามัญ​ อาจเพี้ยน​ หากในกาลข้างหน้าอาจร้อนใจได้​ จึงทรงแนะให้หาพระรามัญมาบวชให้ใหม่​ ท่านภิกษุทับ​ จึงไปขอบวชที่วัดชนะสงคราม​(วัดตองปุ)​ เพราะมีพระรามัญจำพรรษาอยู่มาก

บวชครั้งที่​ 4

เมื่อพระวชิรญาโณ​ (ร.4)​ ทรงย้ายจากวัดมหาธาตุ​ มาประทับวัดราชาธิ​วาส​ พระภิกษุทับ​ ขอย้ายติดตามมาด้วย ในครั้งนั้น​ นิมนต์​พระรามัญมาทำพิธีบวชใหม่​ ในโบสถ์​แพ​ หรือเรียกอย่าง​ทางการว่า​อุทุกเขปสีมา​ การบวชครั้งนี้มีพระวชิรญาโณ(​ร.4)​ ทรงเป็นประธาน

บวชครั้งที่​ 5

พระภิกษุทับ​ รู้สึกไม่ถูกใจพระกรรมวาจาจารย์​ในการบวชที่โบสถ์แพ​ หน้าวัดราชาธิวาส​ จึงเดินทางไปวัดปริก​ (หรือปรัก)​เมืองปทุมธานี​ ที่นั่นนิมนต์​พระรามัญมาทำพิธี​บวชให้ใหม่

บวชครั้งที่​ 6

การบวชอีกครั้ง​ นับเป็นครั้งที่​ 6​ นั้นสืบเนื่องจากพระราชปรารภของ​ วชิรญาโณ​(ร.4)​ ว่าการบวชที่ผ่านไป​ แค่ทำญัตติจตุตถกรรม​ มิได้ทำบุพกิจ​ จึงให้ทำให้ถูกต้องที่วัดราชาธิวาสนั้นพระรูปอื่นทำหมด​ เว้นแต่พระภิกษุทับ​ ที่มีกิจที่อื่น​ ท่านจึงต้องไปหาวัดเพื่อทำบุพกิจและบวชให้สมบูรณ์​ จึงเดินทางไปวัดดอนกระฎี นิมนต์​พระรามัญมา ทำพิธี​บวชในโบสถ์แพ​ ที่หน้าวัดนั้น​ (ไม่มีรายละเอียดว่าวัดดอนกระฎีนี้อยู่​ที่ไหน)​

บวชครั้งที่​ 7

เมื่อท่านภิกษุทับเดินทางไปนมัสการ​ พระปฐมเจดีย์​ จังหวัดนครปฐม​ ได้รำพึงว่า​ พระเจดีย์​ใหญ่​เป็นของสำคัญ​ในพระพุทธ​ศาสนา​ ผู้​สร้างนั้น​ สร้างเฉพาะ​พระสัมมาสัมพุทธเจ้า​พระองค์ใด
ข้าพเจ้า​ขอ​ปฏิญา​ณว่า​ เป็นอุปสัมบันภิกษุ​เฉพาะ​พระอรหันตสัมมาสัมพุทธ​เจ้า​ พระองค์​นั้น นับเป็นอุทิศบรรพชา​ครั้งที่​ 7

  
สมเด็จพระ​มหา​วีร​วงศ์​ ​(ยัง)​ ว่าเรื่องดังกล่าว​นี้​ สมเด็จ​พระ​วันรัต(​ทับ)​ เล่าให้ฟังโดยตรง​ จึงไม่ได้ความละเอียด​ ดังนั้น​ข้อความที่เล่ามาจึงเป็นเพียงสังเขป
   
อย่างไร​ก็ตาม​ พระภิกษุ​ทับ​ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์​ พระอริยมุนี​ เทียบพระราชาคณะชั้นเทพ​ จึงได้รับมอบหมาย​ให้ดูแลพระสงฆ์ในคณะ​ธรรมยุต​ ที่วัดราชาธิวาส​ แทนพระวชิรญาโณ​(ร.4)​ ที่ทรงย้ายมาประทับวัดบวรนิเวศวิหาร​ ตามพระบรมราชโองการ​ ของ​ ร.3
 
เมื่อวชิรญาโณ​ ลาผนวชไปครองราชย์​เป็นรัชกาลที่​ 4​ และทรงสร้างวัดโสมนัสวิหาร​ ขึ้นตามที่เคยเล่าไปแล้ว​ รัชกาลที่​ 4​ จึงนิมนต์ให้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดโสมนัส​เป็นองค์ปฐม ใน​พ.ศ​.​2399 และอยู่ถึง​ พ.ศ.2434 
  
หนังสือประวัติและผลงานของท่านว่าสมเด็จพระวันรัต​(ทับ)​ เป็นพระเถระ​ ที่พระมหาษัตริย์ทรงมีพระราชศรัทธา​ เช่น​ พ.ศ.​2416 เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่​หัว​ทรงผนวช​ และประทับที่พุทธ​รัตนสถาน​ในพระบรมมหาราชวัง​เป็นเวลา​ 15​ วันนั้น​ โปรดฯให้สมเด็จ​พระ​วันรัต​ เมื่อมีสมณศักดิ์​ที่พระพิมลธรรม​ ให้อยู่​ด้วยจนกระทั่งครบ​ 15​ วัน
 
ตามประวัติ​คณะพระธรรมยุต​ นั้น​ สมเด็จพระ​วันรัต​ (ทับ)​ จัด​เป็น​ต้นวงศ์ธรรมยุต​ สายใหญ่ที่สุด​ มีเครือข่ายกระจายทั่วไป​ ล้วนแต่เป็นกำลังสำคัญ​ของพระธรรมยุต​ ดังที่สมเด็จพระวันรัต​ (​จับ​ ฐิตธมฺโม)​ เจ้าอาวาสวัดโสมนัส​ รูปที่​ 6​ (พ.ศ.2489​ ถึง​ พ.ศ.2539)​ ทำสาแหรก​ต้นวงศ์​ธรรมยุต​ เพื่อการศึกษาจะเห็นว่าสมเด็จพระวันรัต(​ทับ) เป็นพระอุปัชฌาย์​สมัยแรกสายใหญ่ที่สุด​ มีสัทธิวิหาริก​ กระจายทั่วไป

ท่านครองวัดโสมนัสวิหารนาน​ 35​ ปี​ ทำความรุ่งเรืองของวัดทั้งวิปัสสนากรรมฐาน​ และการศึกษาภาคปริยัติอยู่ในขั้นแนวหน้า​ มีพระภิกษุ​สามเณร​ เรียนจบชั้นสูง​ เป็นกำลังของพระพุทธ​ศาสนา​ อย่างน่าอนุโมทนา​ยิ่ง

เจ้าพระคุณสมเด็จ​พระวันรัต​ (ทับ)​ ผู้ทำสถิติ​บวชถึง​ 7​ ครั้ง​ มรณภาพเมื่อ วันที่​ 4​ พฤศจิกายน​ พ.ศ.2434​ อายุ​ 86​ ปี​ พรรษา​ 66

ชีวิตของท่านเป็นชีวิตแห่งการประพฤติ​พรหมจรรย์​ ทั้งหมด