เมื่อสอง-สามวันก่อน ผมได้รับคำถามและคำบอกเล่าจากเพื่อนๆ สองท่าน ท่านหนึ่งเป็นหุ้นส่วนเก่าผม ได้ส่งคลิปที่ได้พูดถึงชาวเมียนมา เลิกซื้อคอนโดมิเนียมในประเทศไทย และอีกคนหนึ่งที่เป็นแฟนคลับรุ่นลูก ได้ส่งคลิปของผู้สื่อข่าวอาวุโสท่านหนึ่ง ที่ได้เล่าถึงรัฐบาลได้ทำการจับกุมชาวเมียนมา ที่เข้ามาซื้อหาอสังหาริมทรัพย์หรือคอนโดมิเนียมที่ประเทศไทย ซึ่งแฟนคลับท่านนี้ถามว่าผมมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง? ผมก็รับปากไปว่า จะนำมาเล่าในช่องทางคอลัมน์นี้ ให้รออ่านได้เลย
เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ผมได้เล่าถึงการจัดการปัญหาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลเมียนมาในยุคนี้ แรกเลยก็คิดว่าแตะเพียงแค่นั้นคงจะพอ เพื่อจะได้นำเรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ มาเล่าต่อไป แต่หลังจากได้รับคำถามดังกล่าวข้างต้น ทำให้อดไม่ได้ที่จะแตะต่อไปอีกนิด เพื่อจะได้ให้พวกเราชาวไทย ได้เห็นวิธีการจัดการของรัฐบาลเมียนมาเขานะครับ อย่างไรก็ตามคงต้องขออนุญาตเล่ายาวไปถึงอดีตอีกนิดหนึ่ง อย่าเพิ่งคนแก่รำคาญชอบเล่าความหลังนะครับ
เหตุการณ์หรือวิธีการจัดการของ “รัฏฐาธิปัตย์” ของทุกๆ ประเทศ ที่ได้อำนาจมาจากการรัฐประหาร เขามีอำนาจในการเข้ามาจัดการทุกเรื่องอย่างเข้มข้นได้อย่างชอบธรรม จะมีเพียงรัฏฐาธิปัตย์ของไทยเราเท่านั้นแหละครับ ที่ไม่ได้ใช้อำนาจกระบี่อาญาสิทธิ์ ในการเข้ามาจัดการเลย ทุกครั้งที่มีการรัฐประหารในประเทศไทยเรา เรามักจะอะลุ่มอล่วยในการจัดการทั้งสิ้น จนทำให้แฟนคลับที่ชมชอบการปฏิวัติบางท่าน ที่มีความคิดว่าคณะปฏิวัติหรือคณะปฏิรูป คณะความมั่นคงฯลฯ (สารพัดชื่อที่ใช้เรียก) น่าจะใช้อำนาจอย่างเต็มที่แต่ก็ไม่ได้ใช้ จึงมักจะมีคนออกมาพูดว่า “ปฏิวัติเสียของ” ส่วนตัวผมคิดว่า นั่นเป็นเพราะเราเป็นคนไทยไงครับ เราจึงมีความอะลุ่มอล่วยอย่างที่เห็น
ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง เช่นประเทศเมียนมากลับไม่ใช่แบบเรา “เขาเอาจริงครับ” หากมองไปที่อดีตยุคปี 1966 ที่มีการปฏิวัติกัน รัฐบาลสั่งการให้ยึดทรัพย์ประชาชนที่มีข้อสงสัยว่า จะร่ำรวยมาจากการทำการค้าที่ไม่เป็นธรรม หรือมีข้อสงสัยว่า......เขายึดหมดครับ ผมมีเพื่อนอยู่หลายคนที่เรียนหนังสือด้วยกันที่บนดอยแม่สะลอง มีคนหนึ่งที่กำลังเรียนอยู่ดีๆ พ่อแม่ก็ไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้วก็มี บ้านทั้งหลังถูกยึดไปเป็นที่ทำการของรัฐบาลแล้วก็มี นี่คือประเทศเมียนมาครับ
อีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นจากความจริง ที่ผมได้รับทราบจากปากของเพื่อนรักของผม ท่านเป็นทั้งเพื่อนและหุ้นส่วนของผม ครอบครัวของท่านได้รับผลกระทบจากยุคนั้นเช่นกัน กล่าวคือ ในช่วงที่เกิดการรัฐประหาร มารดาของเขาได้อยู่ร่วมกับภริยาของท่านผู้นำที่ถูกรัฐประหารปรากฎว่าถูกบุกเข้าจับกุมพร้อมๆ กัน ในขณะที่นั่งเล่นกันที่บ้านของเพื่อนผมนี่แหละครับ จากนั้นทางการรัฏฐาธิปัตย์ได้ออกคำสั่ง ให้ขับไล่สมาชิกทั้งหมดของครอบครัวเขาออกนอกประเทศภายใน 24 ชั่วโมง โดยอนุญาตให้นำเงินติดตัวไปได้คนละเพียง 500 US$เท่านั้น ยังโชคดีที่ครอบครัวนี้ได้เดินทางไปที่ไต้หวัน และต่อมาได้ลี้ภัยต่อไปยังสหรัฐอเมริกาครับ
จะเห็นได้ว่า การที่จะดำเนินการใดๆของรัฐาฏิปัตย์ ย่อมสามารถกระทำได้ เพราะคำว่า “รัฐาฎิปัตย์” นั้น เหนือกว่ากฎหมายใดๆที่ถูกยกเลิกไปแล้ว เพราะเป็นคำสั่งที่มีผลผูกพันธ์เรียบร้อยครับ ดังนั้นวันนี้สถานการณ์ของประเทศเมียนมา ก็ได้มีรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร เขาจึงจะกระทำการใดๆก็ย่อมทำได้นั่นเอง
จึงไม่ได้สร้างความแปลกใจให้ผม ที่จะได้รับทราบว่า บุคคลที่จัดงาน Event ภายในห้างฯประเทศเมียนมา เพื่อขายอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ ถ้าทางการเขาเห็นว่า เป็นการกระทำที่สร้างความเสียหายต่อ “เงินทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ” ซึ่งจะส่งผลต่อความมั่นคงต่อเศรษฐกิจของชาติ เขาจึงออกคำสั่งให้เข้ามารายงานตัว เพื่อสอบสวนพบว่าหากปล่อยให้เกิดขึ้นจริง จะทำให้เกิดความเสียหายจริง เขาก็สามารถสั่งการให้จับกุมตัวได้เช่นกัน ส่วนประชาชนผู้กระทำการ เมื่ออยู่ในสถานการณ์ปฏิวัติรัฐประหาร ก็ควรจะรู้ว่าอะไรควรระมัดระวัง หรือไม่ควรกระทำนั่นเอง
ในส่วนของการโยกย้ายทรัพย์สิน ไม่ว่าจะวิธีการใดๆก็ตาม ก็ไม่ควรจะโฉ่งฉ่างขนาดนั้น ถ้าหากเห็นว่าการกระทำนั้น เป็นการกระทำที่จะทำให้เกิดความไม่สบายใจของภาครัฐ ก็ไม่ควรจะกระทำ มีช่องทางอื่นๆ อีกเยอะที่สามารถจะกระทำได้ แต่ผมคงไม่สามารถนำมาเล่าได้ เพราะผมยังมีบ้านและทรัพย์สินอยู่ที่นั่นอยู่ คงไม่สะดวกที่จะเล่าจริงๆ ครับ
ส่วนคนที่มาซื้อหาอสังหาริมทรัพย์หรือคอนโดมิเนียม ไม่เพียงแต่ในกรุงเทพมหานคร ผมก็ต้องบอกว่า รัฐบาลเขาไม่ได้มุ่งเน้นมาที่เมืองไทยแต่เพียงแห่งเดียว ที่ประเทศอื่นๆ ผมก็ได้ยินข่าวว่ามีการโอนเงินออกไปซื้อหาเช่นกัน เพียงแต่เขาทำกันแบบเงียบๆ และไม่ได้มีประกาศชัดเจนว่าเป็นกรุงเทพมหานคร
อีกอย่างประเทศไทยเป็นแห่งเดียวที่มีวัฒนธรรม ที่ใกล้เคียงกับประเทศเมียนมาทั้งระยะทาง ความเป็นอยู่ และความคุ้นเคยมากกว่าประเทศอื่นๆ ทั้งหมด ดังนั้นจึงเป็นจุดหมายปลายทางที่ชาวเมียนมาหลายๆ คน ต้องการมาอาศัยอยู่ ถ้าจะวิเคราะห์เป็นปัจจัยต่างๆ ปัจจัยหนึ่งที่เป็นที่หมายปองในการอยู่อาศัยของชาวเมียนมา อาจจะเป็นเพราะราคาอสังหาริมทรัพย์ไม่แพงจนเกินไป หรือแทบจะราคาถูกกว่าหรือใกล้เคียงกับประเทศเมียนมาด้วยซ้ำ หรือถ้าเทียบกับราคาในประเทศอื่นๆ แล้วยังถูกกว่า อีกปัจจัยที่สองคือ อาหารการกิน ที่ต้องยอมรับว่า ในตลาดสดในกรุงเทพมหานครเกือบทุกตลาด มีชาวเมียนมาเป็นผู้ขาย ดังนั้นจึงง่ายต่อการสรรหาอาหารเมียนมาในประเทศไทยได้ง่ายครับ
ปัจจัยที่สามคือ แรงงานที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ส่วนใหญ่เป็นชาวเมียนมา ดังนั้นการจะเสาะหาคนรับใช้ในบ้านที่เป็นชาวเมียนมา จึงไม่ยากเลยครับ นานาปัจจัยที่ทำให้คนมีอันจะกินชาวเมียนมา ต้องการจะเข้ามาซื้อหาคอนโดมิเนียมในกรุงเทพมหานคร ที่โด่งดังมากจนเป็นช่องทางให้ผู้หากินกับการขายคอนโดมิเนียม ไปจัดงาน Event ในห้างฯที่ย่างกุ้ง ดังนั้นจึงมีการออกหมายเรียกให้เข้าไปรายงานตัวดังกล่าวครับ
อาทิตย์หน้าผมจะมาเล่าถึงอีกสองอาชีพ ที่ถูกทางการออกหมายเรียกให้ไปรายงานตัว ให้แก่พวกเราอ่านเล่นนะครับ