*** แม้จะยังไม่รับรองผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ แต่ก็ชัดเจนว่า "โดนัลด์ ทรัมป์" จะได้กลับมาเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง ซึ่งนั้นก็ทำให้ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดบวกขึ้นไปกว่า 1500 จุด ทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่ ในขณะที่หุ้นเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น TESLA หรือ NVIDIA รวมไปถึงราคาบิตคอยน์ก็เตรียมที่จะทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้ง แม้จะสวนทางกับราคาทองคำ ซึ่งปรับร่วงลงอย่างหนักก็ตาม
ว่าแต่ว่า...หลังจากนี้การกลับมาของ "โดนัลด์ ทรัมป์" จะส่งผลกระทบอะไรต่อตลาดหุ้นไทยอย่างไรบ้าง
อย่างแรก...หลายฝ่ายมองว่า การกลับมาของ "โดนัลด์ ทรัมป์" จะทำตลาดอาจกังวลต่อความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐ ขณะที่นโยบายเศรษฐกิจของ "ทรัมป์" จะให้ความสำคัญกับการหยุดภาวะเงินเฟ้อ มีท่าทีจะแทรกแซงธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย
นอกจากนี้ "ทรัมป์" ยังเตรียมลดภาษีหลายอย่าง ซึ่งอาจถูกมองว่าเป็นการช่วยเหลือคนรวย พร้อมกันนี้ ทรัมป์ยังเตรียมเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศโดยเฉพาะภาษีนำเข้าจากจีน ซึ่งจะส่งผลทำให้ทิศทาง Fund Flow ชะลอไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชียและไทย ส่งผลให้ SET Index ยังจะจำกัดในกรอบ 1,430 - 1,450 จุด
อย่างที่สอง... หลายฝ่ายคาดว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนจะกลับมารุนแรง ทำให้หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการย้ายฐานผลิตโดยเฉพาะกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เช่น WHA AMATA และ ROJANA กลุ่มโลจิสติกส์ เช่น WICE PSL กับ RCL ขณะที่หุ้นที่เสียประโยชน์ คือ กลุ่มค้าเหล็ก เช่น DOHOME และ GLOBAL
แต่หากมองในอีกมุม การกลับมาของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ก็มีแนวโน้มว่า จะส่งผลดีในระยะกลางถึงยาว เนื่องจากไทยยังคงถือได้ว่า เป็นกลุ่มประเทศแรกๆ ที่จะได้อานิสงส์จากการย้ายฐานการผลิตสินค้าออกมาเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เจ๊เมาธ์เชื่อว่าโลกนี้ไม่มีอะไรที่ขาวหรือดำอย่างสิ้นเชิง ดังนั้น จึงไม่จำเป็นที่จะต้องไปมองถึงเรื่องดี หรือ เรื่องร้าย อย่างน้อยเมื่อ 4 ปีก่อนหน้านี้ "โดนัลด์ ทรัมป์" ก็เคยนำพาให้เศรษฐกิจโลกปั่นป่วนมาแล้ว ซึ่งเจ๊เมาธ์เชื่อว่า เมื่อมีประสบการณ์ก็จะทำให้การรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ จึงน่าจะไม่ยากจนเกินไปเจ้าค่ะ
*** แม้ว่าหุ้นของ บมจ. เมดีซ กรุ๊ป หรือ MEDEZE ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการตรวจวิเคราะห์ คัดแยก เพาะเลี้ยง และ รับฝากเซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cells) ตรวจศักยภาพเซลล์ภูมิคุ้มกัน (NK Cells) ครอบคลุมการจัดเก็บเซลล์ในระยะยาวที่เริ่มต้น จะได้เข้าซื้อขายหุ้นในวันแรก (First Trading Day) ไปตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค. จะหลุดต่ำกว่าราคาจองซื้อที่ 9.00 บาท ในวันแรกที่เข้าตลาดฯ แต่หลังเวลาผ่านไปไม่ถึงเดือน ...การที่ราคาหุ้นของ MEDEZE ปรับลงเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับราคาต่ำกว่า 8.00 บาท ก็ทำให้คำเตือนที่เจ๊เมาท์เคยมองว่า หุ้นตัวนี้มีสิทธิ์ที่ราคาหุ้นจะต่ำกว่าราคาจองซื้อกลับเป็นจริงขึ้นมา
ว่าแต่สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ราคาหุ้นตัวนี้ ไหลลงมาต่ำกว่าราคาจองซื้อมีอะไรบ้าง...
อย่างแรก...ก็ต้องบอกว่าในบรรดาหุ้น “ทำลูก” ที่เพิ่งจะเข้าตลาดไม่ว่าจะเป็น GFC SAFE หรือ BKGI ซึ่งถือว่าเป็นหุ้นในกลุ่มเดียวกันกับ MEDEZE ก็พบว่า ด้วยหุ้นไอพีโอจำนวน 268 ล้านหุ้น ในราคาจองซื้อ 9.00 บาทต่อหุ้น รวมเป็นจำนวนเงินราว 2,412 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเทียบราคาจองซื้อต่อราคาพาร์ และจำนวนหุ้นก็ถือได้ว่า MEDEZE ได้เรียกระดมทุนมากที่สุด จนทำให้เกิดคำถามว่าราคาหุ้นแพงเกินไปหรือไม่
อย่างที่สอง...เป็นประเด็นปัญหาที่ทาง “แพทยสภา” เปิดเผยว่า การใช้ “สเต็มเซลล์” รักษาได้แค่บางโรคที่แพทยสภารับรอง ได้แก่ โลหิตวิทยา และ จักษุวิทยา หากนำไปใช้นอกเหนือจากนี้ ทั้งในเรื่อง ความสวยงาม หรือโรคอื่นๆ
นอกเหนือจากนี้ อาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย โฆษณาเกินจริง นอกจากนี้แพทยสภา ยังได้ระบุว่า ประเทศไทย ยังติดอันดับ Watch list ของประเทศการใช้ สเต็มเซลล์ มาอวดอ้างในการรักษาโรค โดยเฉพาะเกี่ยวกับความสวยความงาม
ส่วนท้ายที่สุด...เป็นเรื่องของการสื่อสารที่เจ๊เมาธ์มองว่า ทาง MEDEZE ดูเหมือนจะให้ข้อมูลได้ไม่เพียงพอ ไม่ทันเกม จนทำให้กระทบความน่าสนใจในธุรกิจของบริษัท เพราะคำเตือนของแพทยสภาฯ ถึงแม้ไม่ได้ระบุถึงบริษัทใด แต่การที่ระบุไปถึง “สเต็มเซลล์” และการออกมาให้ข้อมูลช้าเกินไปก็มีผลกระทบได้
เรื่องแบบนี้เจ๊เมาธ์ก็ได้แต่ตั้งข้อสังเกต และส่งผ่านข้อมูลที่มีให้กับแฟนๆ ของเจ๊ได้รับรู้ ส่วนผลที่เกิดขึ้นก็คงเป็นไปตามทางเดินที่บริษัทได้เลือกเอาไว้แล้ว...เรื่องมันก็มีอยู่เท่านี้เองเจ้าค่ะ