*** ตลาดหุ้นไทยเพียงเริ่มต้นการซื้อขายได้ไม่กี่วัน ข่าวการลาออกของกรรมการจากทุกตำแหน่งในบริษัท ไม่ว่าจะเป็น CV หรือ EASTW ถือว่าเป็นอีกเรื่องที่น่าสนใจ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะถึงแม้ว่าจะเป็นการลาออกเหมือนกัน แต่กลับมีรายละเอียดที่แตกต่างกันอยู่ไม่น้อย แต่อีกส่วนก็มีสาเหตุมาจากการที่ราคาหุ้น ที่ปรับร่วงลงมากของหุ้นทั้งสองตัว ทำให้นักลงทุนได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมากไม่ต่างกันนั่นเอง
เริ่มต้นจาก บมจ.โคลเวอร์ เพาเวอร์ หรือ CV ซึ่งเริ่มออกอาการตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว (2567) เมื่อกรรมการอิสระทยอยลาออก จนท้ายที่สุดก็ลาออกไปหมดทั้งคณะ ซึ่งดูเหมือนจะสอดคล้องไปกับผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปีนี้ ที่ขาดทุนสุทธิเพิ่มขึ้น 289% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มีหนี้สินหมุนเวียนสูงกว่าสินทรัพย์หมุนเวียน และมีปัญหาหนี้ที่ครบกำหนดชำระหลายร้อยล้านบาท
นอกจากนี้ ยังพบว่าความ “ล้มเหลว” หลังประกาศเพิ่มทุนจำนวน 3,840 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าทุนจดทะเบียนของบริษัทในตอนนั้นถึง 3 เท่า ขณะที่การเพิ่มทุนที่ว่านี้ เป็นไปเพื่อการลงทุนซื้อหุ้นอีกบริษัท จากบุคคลที่มีความเกี่ยวโยงกันในมูลค่า 1,040 ล้านบาท โดยจ่ายค่ามัดจำ 17% ของมูลค่าหุ้นที่จะซื้อ
ต่อมา CV ประกาศยกเลิกการซื้อหุ้น และดำเนินการทางกฎหมาย เพื่อเรียกค่ามัดจำคืน ส่งผลให้ต้องบันทึกด้อยค่าเงินมัดจำ 180 ล้านบาท พร้อมกันนี้ ยังมีปัญหามาจากการที่ CV ได้จ่ายเงินล่วงหน้าค่ามัดจำการซื้อหุ้นบริษัทแห่งหนึ่ง 427 ล้านบาทหรือ 95% ของมูลค่าหุ้นที่จะซื้อ ซึ่งมีการบันทึกด้อยค่าเงินมัดจำ 14% และกำลังมีการเรียกร้องเงินมัดจำคืนก่อนดำเนินการทางกฎหมาย
ดังนั้น สิ่งที่เจ๊เมาธ์ว่ามาทั้งหมดทำให้สิ่งที่เจ๊เคยเขียนถึง CV ไปนานแล้วว่า หุ้นทรงแบบนี้เป็นหุ้นที่ไม่น่าไว้ใจ สอดคล้องไปกับราคาหุ้นของ CV ปรับราคาร่วงลงไปแล้วกว่า 93% จากราคาไอพีโอ 3.90 บาท ส่งผลให้นักลงทุนนับหมื่นราย ต้องมาเจ็บตัวไปกับหุ้นตัวนี้ หลังเข้ามาตลาดหุ้นไทยได้แค่ 3 ปีกว่าๆ เท่านั้นเอง
หุ้นตัวต่อมาคือ EASTW หรือ บมจ. จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก โดยรายนี้ ก็มีกรรมการบริษัท 4 ราย ได้ลาออกจากทุกตำแหน่งในบริษัท ซึ่งก็เป็นไปพร้อมๆ กับการที่เซียนหุ้น VI อย่าง ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ได้ขายหุ้นไปจนเกลี้ยงพอร์ตในปี 2567 จากเดิมถือ 10 ล้านหุ้น สอดคล้องไปกับผลการดำเนินงานของ EASTW ในไตรมาส 3/67 ขาดทุนสุทธิ 22.86 ล้านบาท เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 108.96 ล้านบาท
ล่าสุด ผลงานงวด 9 เดือนของปี 2567 บริษัทมีกำไรเหลือเพียง 26.03 ล้านบาท ขณะที่การส่งมอบทรัพย์สินคืนแก่กรมธนารักษ์ 4 รายการ อาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทในอนาคต
นอกจากนี้ ยังพบว่า บริษัทมีหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอน ในปี 2568 นี้ จำนวน 2 รุ่น รวมมูลค่า 1,550 ล้าน ขณะที่ข้อมูล ณ สิ้นเดือน ก.ย. 2567 บริษัทมีเงินสด และรายการเทียบเท่าเงินสด 1,038.75 ล้านบาท แต่มีหนี้สินในส่วนของหนี้สินระยะยาวส่วนที่ถึงกำหนดชำระภายในหนึ่งปี 3,212.37 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นหนี้หุ้นสถาบันการเงิน 2,012.50 ล้านบาท และหนี้หุ้นกู้ 1,199.87 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีข่าวว่า กรมธนารักษ์ได้ยื่นฟ้อง EASTW ต่อศาลแพ่ง เรียกร้องให้คืนที่ราชพัสดุ และโครงการท่อส่งน้ำ พร้อมเรียกค่าเสียหายมูลค่า 127.7 ล้านบาท หลังบริษัทไม่ยอมส่งมอบทรัพย์สินให้ บริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง ผู้รับสัมปทานรายใหม่ตามกำหนด โดยให้อีสท์วอเตอร์ยื่นคำแก้ต่างภายใน 15 วัน และนัดชี้สองสถาน และกำหนดแนวทางในการดำเนินคดี หรือสืบพยานโจทก์ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 9.00 น.
ขณะที่เมื่อเทียบรายการสินทรัพย์ เงินสดและหนี้สินที่มีอยู่ ทำให้มีโอกาสที่ EASTW อาจมีปัญหาการชำระหนี้ ที่กำลังจะมาถึงได้สูงมาก หรือ แม้ว่าบริษัทจะใช้กำไรสะสมยังไม่ได้จัดสรรอยู่ที่ 6,904 ล้านบาท มาจ่ายหนี้ แต่การเป็นบริษัทที่มีแต่รายจ่ายขณะที่รายได้น้อยลงก็จะทำให้ EASTW กลายเป็นบริษัทที่ไม่สามารถจ่ายปันผลสูงในอนาคตได้อย่างที่เคยเป็น
ดังนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจที่ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร จะขายหุ้นทิ้งจนเกลี้ยงพอร์ต รวมไปถึงการที่กรรมการบริษัท 4 ราย ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นโควต้าผลประโยชน์มาจากสายไหน ได้ยกพวกพากันลาออกจากทุกตำแหน่ง ทั้งนี้ก็เป็นเพราะว่าอนาคตของ EASTW ดูจะไม่สดใสอีกต่อไปแล้วนั่นเอง