ภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ ทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้ไม่เต็มที่ และหากปล่อยไว้นาน อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนมากมาย
โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Cardiac Arrhythmia) เกิดจากความผิดปกติของจุดกำเนิดกระแสไฟฟ้าในหัวใจ หรือกระแสไฟฟ้าในหัวใจวิ่งลัดวงจร อาจทำให้ทั้งหัวใจเต้นเร็วหรือช้าเกินไปกว่าปกติ หัวใจเต้นช้าสลับเร็ว รวมถึงมีคลื่นไฟฟ้าหัวใจเต้นแทรกขึ้นมาเป็นครั้งคราว ส่งผลให้หัวใจทำงานได้ไม่เต็มที่ เกิดการไหลเวียนของเลือดไม่ปกติ
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ แบ่งได้ 3 แบบ คือ 1. หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำกิจกรรมอะไร หรือเต้นช้ามากกว่าปกติ จนวิงเวียนหรือถึงกับจะเป็นลม 2. หัวใจเต้นแรงขึ้นจนรู้สึกใจสั่นหรือเต้นสะดุด และ 3. หัวใจเต้นระรัว จนรู้สึกไม่สม่ำเสมอ
ปัจจัยเสี่ยงภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ อาจเกิดจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ภาวะเครียดสะสม พักผ่อนน้อย ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนสูง เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม และผู้ที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคกล้ามเนื้อหัวใจหนาตัว และผู้ที่มีภาวะต่อมไทรอยด์เป็นพิษ ก็เสี่ยงต่อโรคนี้มากกว่าคนปกติ
นอกจากนี้ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ อาจเกิดกับผู้ที่มีหัวใจพิการแต่กำเนิดหรือโรคหัวใจทางพันธุกรรม ที่ส่งผลให้มีการนำไฟฟ้าผิดปกติหรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ “ปกติคนที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะจะมีอาการใจสั่น เหนื่อยง่าย เวียนหัวตาลาย รวมถึงเจ็บแน่นหน้าอก หรือบางคนก็ถึงขั้นหน้ามืดเป็นลม ซึ่งใครที่มีอาการเหล่านี้ก็ถือว่าอาจเข้าข่ายโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ แนะนำให้เข้ามาตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด เพื่อหาความผิดปกติ แพทย์จะได้รู้ตำแหน่งของการเต้นที่ผิดจังหวะอย่างชัดเจนและหาแนวทางการรักษาได้อย่างถูกต้อง
การป้องกันภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ทำได้โดยการปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน คือ หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง เช่น การดื่มเครื่องดื่มคาเฟอีน และแอลกอฮอล์ หรือการพักผ่อนน้อย ทั้งนี้ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และตรวจสุขภาพเป็นประจำ ก็จะช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคได้ ส่วนผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ แพทย์จะรักษาตามอาการและชนิดของโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะในแต่ละคน
ซึ่งการตรวจวินิจฉัย มีหลายวิธี ตั้งแต่การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะพัก, เครื่องบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจแบบพกพาเป็นเวลา 24-48 ชั่วโมง, อัลตราซาวนด์หัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง, เครื่องบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะมีอาการแบบ 7 หรือ 14 วัน, การตรวจสมรรถภาพหัวใจ และการทดสอบภาวะการเป็นลมหมดสติด้วยเตียงปรับระดับ
อย่างไรก็ดี เมื่อทราบรายละเอียดของโรค แพทย์จะเลือกวิธีการรักษาให้เหมาะกับแต่ละคน มีตั้งแต่การใช้ยาเพื่อควบคุมการเต้นของหัวใจที่เร็วมากเกินไป และการใช้กระแสไฟฟ้าหรือคลื่นวิทยุเพื่อปรับการเต้นของหัวใจให้ปกติ รวมถึงการใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ กรณีหัวใจเต้นช้าเกินไป
“หัวใจ” เป็นหนึ่งในอวัยวะที่สำคัญต่อร่างกาย ดังนั้นจึงอยากให้ทุกคนดูแลหัวใจของตัวเองให้ดี ร่างกายของเราจะได้แข็งแรงอยู่เสมอ
ขอบคุณ : ศูนย์หัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลวิมุต
หน้า 15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 44 ฉบับที่ 4,007 วันที่ 7 - 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2567