นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่าเงินเฟ้อปี 2565 เพิ่มขึ้น 6.08% ใกล้เคียงกับที่กระทรวงพาณิชย์คาดการณ์ไว้ว่าเงินเฟ้อทั้งปี 2565 จะอยู่ที่ 5.5-6.5% ค่ากลาง 6.0% โดยเป็นตัวเลขที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 24 ปี นับจากปี 2541 ที่เคยขึ้นไปสูงถึง 8.1%
มีปัจจัยสำคัญมาจากราคาพลังงานที่สูงขึ้น โดยทั้งปีสูงขึ้นถึง 23.93% และยังมีปัญหาจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน
ที่ทำให้การผลิตพลังงานตึงตัว ส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมัน ค่าไฟฟ้า และก๊าซหุงต้ม และยังมีการปรับขึ้นค่าจ้าง ดอกเบี้ย เงินบาทอ่อนค่า ที่กระทบต่อต้นทุนแฝงในการผลิต ส่งผลให้ราคาสินค้าสูงขึ้น และยังมีโรคระบาดในสุกร ปัญหาอุทกภัย ที่กระทบต่อการผลิตของเนื้อสุกรและผักสด
ทั้งนี้ หากแยกเงินเฟ้อที่สูงขึ้น 6.08% พบว่า สัดส่วน 1% มาจากการเพิ่มขึ้นของเนื้อสุกร ไก่ และไข่ไก่ 1% มาจากอาหารสำเร็จรูป 1% มาจากค่ากระแสไฟฟ้า 2% มาจากค่าน้ำมัน และ 1% สุดท้าย เป็นการเพิ่มขึ้นของสินค้าอื่น ๆ ขณะที่เงินเฟ้อของเดือนธ.ค.2565 เพิ่มขึ้น 5.89%สูงกว่าเดือนที่ผ่านมาเล็กน้อย
สาเหตุที่ทำให้เงินเฟ้อเดือนธ.ค.2565 เพิ่มขึ้น มาจากการเพิ่มขึ้นของสินค้าในหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้น 3.87% ตามการสูงขึ้นของสินค้ากลุ่มพลังงานที่สูงขึ้น 14.62% ทั้งน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าไฟฟ้า และก๊าซหุงต้ม รวมทั้งค่าโดยสารสาธารณะ ขณะที่สินค้าทำความสะอาด เช่น น้ำยาล้างจาน น้ำยาปรับผ้านุ่ม ผงซักฟอก รวมถึงยาสีฟัน แชมพู ค่าแต่งผม สูงขึ้นเล็กน้อย แต่ก็มีสินค้าที่ราคาลดลง เช่น โฟมล้างหน้า แป้งผัดหน้า ผลิตภัณฑ์ป้องกันและบำรุงผิว เครื่องรับโทรทัศน์ เครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ ค่าสมาชิกเคเบิลทีวี
ส่วนสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เพิ่ม 8.87% โดยอาหารสำเร็จรูป เพิ่ม 9.66% เช่น ข้าวราดแกง อาหารเช้า ก๋วยเตี๋ยว และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป รวมถึงเนื้อสุกร เนื้อไก่ ไข่ไก่ และข้าวสาร ส่วนมะเขือเทศ กะหล่ำปลี พริกสด ผักกาดขาว มะขามเปียก มะพร้าวแห้ง ขูด กล้วยน้ำว้า และทุเรียนราคาลดลงทั้งนี้ ในส่วนของเงินเฟ้อพื้นฐาน เมื่อหักอาหารสดและพลังงานออก เพิ่มขึ้น 0.06% เมื่อเทียบกับพ.ย.2565 และเพิ่มขึ้น 3.23% เมื่อเทียบกับธ.ค.2564 และเฉลี่ย 12 เดือน เพิ่ม 2.51%
แนวโน้มเงินเฟ้อในปี 2566 คาดว่าไตรมาสแรกจะยังเพิ่มขึ้น แต่จะชะลอตัวจากช่วงปลายปี 2565 และค่อย ๆ ลดลงตั้งแต่เดือนเม.ย.2566 เป็นต้นไป เพราะสินค้าส่วนใหญ่ทรงตัวและราคาเริ่มปรับลดลง ราคาพลังงานมีแนวโน้มลดลงตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศต่าง ๆ และฐานปี 2565 ค่อนข้างสูง อีกทั้งยังมีมาตรการลดค่าครองชีพของรัฐบาล การกำกับดูแลราคาสินค้าของกระทรวงพาณิชย์ แต่ก็มีปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อ เช่น การขึ้นค่าไฟฟ้า การปรับค่าจ้างทั้งระบบ เงินบาทที่ยังผันผวน
การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ที่จะกระทบต่อสินค้าและบริการในบางกลุ่มที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว และยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตา เช่น ความผันผวนสินค้าโภคภัณฑ์จากความเสี่ยงปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ สภาพอากาศแปรปรวน การระบาดของโควิด-19 และโรคระบาดในสัตว์ ที่จะต้องติดตามใกล้ชิด
ทั้งนี้กระทรวงพาณิชย์คาดการณ์เงินเฟ้อปี 2566 ไว้ที่ 2.0-3.0% มีค่ากลางอยู่ที่ 2.5% ซึ่งน่าจะต่ำสุดในรอบ 10 ปี เพราะปี 2556 เงินเฟ้อทั้งปีอยู่ที่ 2.18% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของจีดีพี ที่ 3.0-4.0% ราคาน้ำมันดิบดูไบ 85-95 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และอัตราแลกเปลี่ยน 36-37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทำที่ดูตอนนี้ เงินเฟ้อทั้งปียังมีโอกาสปรับลงอีก เพราะสมมติฐานราคาน้ำมัน มีแนวโน้มลดลง โดยเฉลี่ยธ.ค.2565 อยู่ที่ 76.82 ดอลลาร์สหรับต่อบาร์เรล เงินบาท ก็แข็งค่าขึ้นเฉลี่ยธ.ค.2565 อยู่ที่ 34.97 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยหากสถานการณ์เปลี่ยนอย่างมีนัยสำคัญ จะมีการทบทวนอีกครั้งหนึ่ง