นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าประเทศไทยยังคงเป็นฐานการลงทุนที่น่าสนใจของทุนต่างชาติ โดย 2 เดือนแรก (มกราคม - กุมภาพันธ์) ปี 2566 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 จำนวน 113 ราย เป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 37 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 76 ราย เม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้น 26,756 ล้านบาท จ้างงานคนไทย 1,651 คน
โดยชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 5 อันดับแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ สหรัฐฯ จีน และสมาพันธรัฐสวิส โดยนักลงทุนจีนขนเงินเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้นแซงหน้าญี่ปุ่นที่จนส่งลงทุนไทย5.5พันล้านบาท ในขณะที่จีนขนเงินลงทุนไทยสูงถึงหมื่นล้านบาท
ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบช่วงเวลาเดียวกันปี 2565 พบว่า การอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย เพิ่มขึ้น 51 ราย หรือ 82% มูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 20,154 ล้านบาท คิดเป็น305% (เดือน ม.ค. - ก.พ.66 ลงทุน 26,756 ล้านบาท / เดือน ม.ค. - ก.พ.65 ลงทุน 6,602 ล้านบาท) และจ้างงานคนไทยเพิ่มขึ้น 412 ราย คิดเป็น33% หรือ1,651 คน โดยจำนวนชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนสูงสุด คือ ญี่ปุ่น เช่นเดียวกับปี 2565
ธุรกิจที่ได้รับอนุญาตเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2566 ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ นโยบายการส่งเสริมการลงทุนเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เช่น บริการออกแบบ จัดซื้อ จัดหา ติดตั้ง ปรับปรุง พัฒนา ทดลองระบบ เชื่อมระบบ และการเปิดใช้งาน ตลอดจนการบริหารจัดการ สำหรับโครงการรถไฟฟ้า บริการขุดเจาะหลุมปิโตรเลียมภายในบริเวณพื้นที่แปลงสำรวจที่ได้รับสัมปทานในอ่าวไทยเป็นต้น
ส่วนการลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติ มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 21 ราย คิดเป็น19% ของจำนวนนักลงทุนทั้งหมด โดยมีมูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC กว่า 2,078 ล้านบาท คิดเป็น 8% ของเงินลงทุนทั้งหมด เป็นนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น 7 ราย ลงทุน 1,352 ล้านบาท จีน 5 ราย ลงทุน 529 ล้านบาท ไต้หวัน 3 ราย ลงทุน 37 ล้านบาท และประเทศอื่นๆ อีก 6 ราย ลงทุน 160 ล้านบาท โดยธุรกิจที่ลงทุน เช่นบริการทางวิศวกรรมด้านการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับธุรกิจวิศวกรรมยานยนต์ บริการรับจ้างผลิตชิ้นส่วนโลหะ และชิ้นส่วนพลาสติก และ การค้าระหว่างประเทศ โดยเป็นการจัดซื้อสินค้า วัตถุดิบ และชิ้นส่วนสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ เป็นต้น เพื่อค้าส่งในประเทศ เป็นต้น
ทั้งนี้ เฉพาะเดือนกุมภาพันธ์ มีการอนุญาตให้คนต่างชาติประกอบธุรกิจในประเทศไทย จำนวน 61 ราย เป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 15 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 46 ราย เม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้น 21,627 ล้านบาท จ้างงานคนไทย 1,353 คน ส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติจากสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และจีน รวมถึงมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีอันเป็นองค์ความรู้เฉพาะด้านโดยตรงจากประเทศผู้เข้ามาลงทุนให้แก่คนไทย เช่น องค์ความรู้เกี่ยวกับการเจาะลอด (Horizontal Directional Drilling) องค์ความรู้เกี่ยวกับระบบงานศูนย์เครือข่ายโรมมิ่ง (Roaming Hub) และองค์ความรู้เกี่ยวกับการวิเคราะห์ความผิดพลาดในกระบวนการผลิตสินค้าประเภทนาฬิกาอัจฉริยะ (Smart Watch) เป็นต้น