นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กล่าวในงานสัมนาหุ้นไทย 2024 with the Dragon Fire "Discover new opportunities" หัวข้อเรื่อง Discover new opportunities ทลายกำแพงการลงทุน จัดโดยฐานเศรษฐกิจ ว่า ดัชนีหุ้นไทยย้อนหลัง เราเคยเห็นวัฎจักรมาแล้ว ตั้งแต่ 400-1,800 จุด ซึ่งขณะนี้หุ้นไทยต่ำกว่า 1,300 จุด เรียนว่า ดัชนีราคาตลาดหุ้นเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่นักลงทุนมักจะใช้ในการดูกราฟ ยอมรับว่า ตลาดไทยมีการตีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับต้นทุน
ทั้งนี้ หมายความว่า ถ้าเราซื้อหุ้นไทยตอนนี้ผลตอบแทนโดยรวมยังมีแนวโน้มอยู่ตัว และมีแนวโน้มที่จะปรับตัวดีขึ้น หากเปรียบเทียบองค์ประกอบที่อยู่ในหุ้นไทย และองค์ประกอบหุ้นต่างประเทศ เรามีอุตสาหกรรมที่ดีอยู่ ทั้งการเงิน คอนซูมเมอร์ เป็นต้น ส่วนหุ้นต่างประเทศจะเป็นหุ้นเทคเยอะ
“การจะเลือกลงทุนหุ้นที่ตลาดไหน จะต้องดูว่ามีการเติบโตหรือไม่ และดูทิศทางการดำเนินธุรกิจ อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบการเติบโตในเอเชีย ตลาดหุ้นไทยยังไม่ได้เติบโตมาก แต่มองว่าตลาดหุ้นไทยเราที่ต่ำกว่า 1,300 จุด ไม่ได้แปลว่าตลาดหุ้นเราไม่มีเสน่ห์ เชื่อว่า ปีนี้ทั้งปีการ Downgrade ของหุ้นไทยจบลงแล้ว จากผลประกอบการที่มีอยู่ปัจจุบันหุ้นไทยเริ่มปรับฐานขึ้น“
นายทรงพล กล่าวต่อว่า ปัจจุบันหุ้นไทยไม่ได้แพง เมื่อเทียบกับต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้อยู่ในสถานการณ์ที่สินทรัพย์ที่อยู่ในตลาดเริ่มดีขึ้น และการที่เรามอง SET Index จะต้องขึ้นเสมอไปอาจจะไม่ใช่คำตอบที่เดียวที่เราจะต้องรู้
“หากราคาหุ้นขึ้นเราก็ได้กำไรส่วนราคา แต่หากราคาไม่เปลี่ยนแปลง เราได้ผลตอบแทน Yield เปรียบเสมือนเราฝากเงินเราได้ดอกเบี้ย แต่เราซื้อหุ้น หากราคาหุ้นไม่ไปเราก็ได้เงินปันผล ซึ่งหุ้นไทยยังได้ผลตอบแทนปันผลที่ดี ซึ่งการเหมาเข่ง SET Index เพียงอย่างเดียว เมื่อเปรียบเทียบหุ้นรายตัว โดยไม่ได้ดู Yield อาจจะเป็นเรื่องไม่เหมาะสม”
ทั้งนี้ การที่จะฝ่ามังกรไฟในปีนี้ ไม่ต้องใส่เสื้อเกราะ แต่ต้องมีตาที่สว่าง และมีสติ ไปสู่การค้นหาข้อมูลที่เรามีให้เหมาะสม ฉะนั้น ในมุมตลาดหุ้นไทย มองว่า ยังมีหุ้นที่แข็งแรง ตลาดหุ้นไทยไม่ได้แย่ มีการสะสมความสามารถมาในช่วง 10-15 ปีในช่วงที่ผ่านมาเป็นอย่างดี
ขณะที่ กบข.นั้น ได้มีการลงทุนโดยกระจายพอร์ตการลงทุน ตั้งเป้าหมายการลงทุนระยะยาวผลตอบแทนไม่ต่ำกว่าเงินเฟ้อเฉลี่ย 10 ปี บวกเพิ่มอีก 2% โดยเป็นการลงทุนในตราสารหนี้ 60% และที่เหลือเป็นสินทรัพย์ทางเลือก ตลาดทุน ทั้งหุ้นในประเทศและต่างประเทศ
ส่วนโอกาสในการลงทุนนั้น ต้องรู้ตัวเองตั้งแต่ต้นว่าเราเป็นนักลงทุนประเภทใด เริ่มจาก 1. การจัดสินทรัพย์ของตัวเอง 2. หวังผลตอบแทนจากอะไรบ้าง 3. ปัจจัยเสี่ยงต่อการลงทุนจากนี้ไปถึงสิ้นปี 4. จากนี้ไปจนถึงเวลาที่เรามองจะมีความเสี่ยงอะไรเกิดขึ้นบ้าง