นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการกำกับโครงการเงินดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท ว่า หลังจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ได้ส่งหนังสือแสดงความเป็นห่วงเรื่องการจัดตั้งงบประมาณที่มีวงเงินขนาดใหญ่ในการดำเนินโครงการดิจิทัล กระทรวงการคลังจึงมอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ศึกษารายละเอียด
ทั้งนี้ พบว่า การดำเนินโครงการใดๆ ของรัฐที่ผ่านมา โดยทั่วไปแล้วจะมียอดผู้เข้ามาใช้สิทธิไม่เกิน 90% ซึ่งจากตัวเลขดังกล่าว สำนักงบประมาณจึงได้เสนอการปรับกรอบแหล่งเงินที่ใช้งบประมาณสำหรับดำเนินโครงการ คือ กระบวนการบริหารงบให้เตรียมวงเงินรองรับประมาณ 450,000 ล้านบาท จากเดิมใช้งบประมาณ 500,000 ล้านบาท ให้สอดคล้องกับข้อมูลที่ศึกษามาข้างต้นว่ามีผู้ใช้สิทธิไม่เกิน 90%
นายจุลพันธ์ กล่าวว่า รัฐยังวางเป้าหมายเดิมว่ามีประชาชนใช้สิทธิ 50 ล้านคน อย่างไรก็ตาม เราจะทราบจำนวนที่แท้จริงหลังจากปิดลงทะเบียนช่วงสิ้นเดือนก.ย.67 นี้ และจะทราบเม็ดเงินงบประมาณจริงที่ต้องใช้ อย่างไรก็ตาม แนวทางการดำเนินการดังกล่าวนี้ จะต้องเสนอคณะกรรมการชุดใหญ่ ที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เพื่ออนุมัติอีกครั้ง ในวันที่ 15 ก.ค.นี้
“กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ มีข้อเสนอไม่ต้องตั้งงบประมาณสำหรับดำเนินโครงการดิจิทัล รองรับไว้เกินความจำเป็น ซึ่งวงเงินที่ตั้งไว้ในเบื้องต้นที่เตรียมรองรับไว้จึงอยู่ที่ 450,000 ล้านบาท และหากประชาชนเข้ามาลงทะเบียนทั้งสิ้น 50 ล้านคน ใช้งบประมาณ 500,000 ล้านบาท ก็สามารถบริหารจัดการได้ตามงบปกติ”
สำหรับแหล่งเงินที่จะนำมาใช้สำหรับดำเนินโครงการดิจิทัล ได้แก่
นายจุลพันธ์ กล่าวว่า เมื่อใช้งบประมาณจากแหล่งที่มาดังกล่าวแล้ว ความจำเป็นในการใช้นโยบายกึ่งการคลัง มาตรา 28 ตามพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ที่จะใช้งบประมาณจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นผู้ดำเนินการอาจจะไม่จำเป็นแล้ว
“สาเหตุที่ก่อนหน้านั้นเรายังเลือกใช้งบประมาณจาก 3 ส่วน เพราะไม่มีประเด็นเรื่องฝ่ายตรวจสอบ และตอนนี้ได้รู้ข้อเท็จจริงว่าสุดท้ายแล้วคนลงทะเบียนอาจไม่ถึง 50 ล้านคนตามที่วางเป้าหมายไว้ ขณะที่ก่อนหน้านี้ที่มีการหารือร่วมกัน งบประมาณปี 67 ก็ยังไม่มีผลบังคับใช้ จึงยังไม่ทราบว่าส่วนราชการจะมีการบริหารจัดการได้เท่าไหร่ จึงยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงช่องทางการใช้งบประมาณ”
ทั้งนี้ คาดว่าเม็ดเงินจากโครงการดิจิทัล ไม่น่ามีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในปีนี้เท่าไหร่นัก แต่จะมีผลในปี 2568 อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้ ก็จะมีมาตรการดูแลเศรษฐกิจออกมา แต่ไม่ใช่รูปแบบกระตุ้นการบริโภค จะเน้นดูแลการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ