รอคอยมานานสำหรับ "เงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท "สร้างพายุหมุนเศรษฐกิจขยับจีดีพีประเทศให้ขยายตัวไปข้างหน้า ล่าสุด วันที่1 สิงหาคม 2567 เวลา8.00น. รัฐบาลมีกำหนดเปิดให้ประชาชน ลงทะเบียน โครงการ เงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท
ผ่านแอปพลิเคชัน หรือแอปฯ"ทางรัฐ" และปิดการลงทะเบียนลงในวันที่ 15 กันยายน 2567โดยไม่มีการจำกัดจำนวนประชาชนที่จะเข้าร่วมใช้สิทธิฯคาดว่าจะมีคนลงทะเบียนไม่ต่ำกว่า45-50ล้านคน
ยังไม่ทันถึงวันลงทะเบียนจริงปรากฎว่า(วันที่31 กรกฎาคม 2567 ) แอปพลิเคชัน “ทางรัฐ”เกิดข้อผิดพลาด ไม่สามารถยืนยันตัวตนผ่านเข้าระบบได้
ส่งผลให้ประชาชนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้างผ่านโลกโซเชียล อย่างดุเด็ดเผ็ดมัน กระทั่ง จนทำให้แฮชแท็ก #ทางรัฐ พุ่งติดเทรนด์ X (ทวิตเตอร์)และเป็นกังวลว่า ในที่สุดแล้วจะลงทะเบียนเข้าระบบได้จริงหรือไม่
แม้รัฐบาล โดยนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง จะออกมาแถลงยืนยันว่า กรณีประชาชนพบแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ขัดข้องเมื่อวันที่31กรกฎาคม2567นั้น เป็นการรีเซตระบบเพื่ออัพเดตเวอร์ชันเพื่อให้เป็นระบบรอคิวซึ่งเป็นการวางแผนไว้ล่วงหน้า
ขณะ สิ่งที่ประชาชนพบ มากที่สุดคือ เมื่อเริ่มมีการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน "ทางรัฐ" เพื่อยืนยันตัวตนและลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ผ่านแอปพลิเคชัน "ทางรัฐ" แล้ว เพื่อรอกดปุ่มลงทะเบียนขอรับสิทธิตามโครงการเติมเงิน 10,000 บาท
ปรากฎว่ามีข้อติดขัด อาทิ ปัญหาสแกนหน้า, เข้าหน้าลงทะเบียนไม่ได้, ยืนยันตัวตนไม่ได้ เข้ารหัสไม่ได้ เป็นต้น โดยในแอปฯ ยังขึ้นข้อความด้วยว่า ขออภัย 504 และขออภัยเกิดข้อผิดพลาดที่ service
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 30 ก.ค. 2567 นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า ในช่วงของวันที่ 31 กรกฎาคม ระบบการลงทะเบียนจะหยุดทำงานราว 2-3 ชั่วโมง เพื่อรีเซตระบบเตรียมความพร้อมรับการลงทะเบียนวันที่ 1 สิงหาคม แต่คนที่ดาวน์โหลดแอปทางรัฐ และยืนยันตัวตนไปแล้วไม่ต้องกังวลเรื่องข้อมูล การรีเซตระบบเป็นการทำงานหลังบ้าน แต่ต้องการบอกให้ทราบว่า หากเข้าแอปฯทางรัฐไม่ได้ ไม่ต้องตกใจ และกังวลใจ
ขณะทางออกหากกลุ่มสมาร์ทโฟน ไม่สามารถเข้าระบบแอปพลิเคชัน "ทางรัฐ" รัฐบาลได้มีช่องทาง ล่าสุดรัฐบาลจึงได้เตรียมเปิดจุด Walk-in สอบถามข้อมูลและให้บริการรับลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ เพิ่มเติมจากการลงทะเบียนผ่านแอปฯ ทางรัฐ เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน จำนวนรวม 5,199 แห่งทั่วประเทศ ดังนี้