นายกฯประกาศลุย "โครงการ Digital wallet" หลังกดปุ่มโอนแจกเงิน 10,000 บาท

25 ก.ย. 2567 | 03:47 น.
อัพเดตล่าสุด :25 ก.ย. 2567 | 04:45 น.

นายกฯ “แพทองธาร”  Kick Off โอนเงิน 10,000 ให้ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและบัตรคนพิการ ย้ำเดินหน้าโครงการ Digital Wallet เพื่อสร้างโอกาส สร้างความหวัง ให้ประชาชนมีกิน มีใช้  

วันที่ 25 กันยายน 2567 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งในงานกดปุ่มโอนเงิน 10,000 บาท  โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ ว่า รัฐบาลมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอีกหลายรูปแบบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงยังคงเดินหน้าโครงการ Digital Wallet (แจกเงินดิจิทัล) เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ และวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัลให้ประชาชนมี Digital ID เป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างรัฐบาลและประชาชน ทำให้การทำธุรกรรมต่าง ๆ กับหน่วยงานรัฐสะดวกขึ้น โปร่งใสตรวจสอบได้ 

นายกฯประกาศลุย \"โครงการ Digital wallet\" หลังกดปุ่มโอนแจกเงิน 10,000 บาท

เช่น การให้เงินช่วยเหลือเมื่อเกิดภัยพิบัติ การชำระค่าไฟ เป็นต้น ประชาชนสามารถติดตามข่าวสารและตรวจสอบข้อมูลได้ที่ทุกช่องทางของกระทรวงการคลัง และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ทั้งหมดเพื่อเป้าหมายสำคัญ คือ การสร้างสภาพแวดล้อมที่จะเอื้อให้ประชาชนใช้ชีวิตอย่างมีความหวัง มีรอยยิ้ม สร้างความเท่าเทียมทางโอกาส เพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยให้กลับมาดีอีกครั้ง” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประเทศไทยประสบปัญหาเศรษฐกิจเรื้อรังมานานหลายปี ไม่ใช่เพียงแค่จากปัจจัยภายใน แต่ยังมีผลจากเศรษฐกิจทั้งโลกที่ฟื้นตัวช้า ซ้ำเติมด้วยปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาค และยังไม่รวมกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น และสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทำให้เกิดภัยพิบัติในหลายพื้นที่ทั่วโลก รวมถึงในบ้านเราก็ได้รับผลกระทบ ซึ่งเหตุอุทกภัยในครั้งนี้ถือว่ารุนแรงมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ หลายปัจจัยที่กล่าวมา ทำให้เศรษฐกิจไทยฝืดเคือง ไม่สามารถที่จะเพิ่มการลงทุนได้

นายกฯประกาศลุย \"โครงการ Digital wallet\" หลังกดปุ่มโอนแจกเงิน 10,000 บาท

จะเห็นได้ชัดว่า การลงทุนใหม่ ๆ ของเราก็หายไปในระบบ เงินไม่หมุนเวียน ทำให้การลงทุนน้อยลง  อุตสาหกรรมใหม่ที่จะมาลงทุนในประเทศไทยน้อยลง  ซึ่งกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่สุด คือ กลุ่มเปราะบางที่มีรายได้น้อย รวมถึงผู้พิการ  

"ในอนาคตประเทศไทยต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางด้านเศรษฐกิจทั้งระบบ  ทำให้เศรษฐกิจต้องมีความพร้อมต่อการลงทุน และอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่จะทำให้เกิดขึ้นในประเทศไทยได้ รัฐบาลจะสร้างรายได้ที่มั่นคงในระยะยาว เพื่อให้คนไทยมีความมั่นคงและหารายได้อย่างยั่งยืน"

นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า นโยบายต่าง ๆ ที่รัฐบาลเน้นย้ำตั้งแต่รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ผ่านมา 1 ปี ได้เน้นย้ำนโยบายด้านเศรษฐกิจเป็นสำคัญ ซึ่งจะสามารถทำให้ประชาชนมีชีวิตที่พัฒนาได้มากขึ้น แต่นโยบายหลายนโยบายอาจจะต้องใช้เวลา บางเรื่องหลายเดือน บางเรื่องต้องใช้เวลาหลายปี ต้องอาศัยเสถียรภาพทางการเมืองด้วย เพื่อที่จะให้นโยบายมีความพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดนี้คือ ‘ความท้าทาย’ ที่รัฐบาลจะต้องเปลี่ยนให้กลายเป็นโอกาส และความหวังเพื่อประชาชน

นายกฯประกาศลุย \"โครงการ Digital wallet\" หลังกดปุ่มโอนแจกเงิน 10,000 บาท

ทั้งนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับนโยบายเศรษฐกิจ หลายโครงการได้ดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่รัฐบาลที่แล้ว สานต่อมายังรัฐบาลนี้ในวันนี้ และมีแผนที่จะทำต่อในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการพักหนี้เกษตรกร การลดดอกเบี้ย ส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่านนโยบายฟรีวีซ่า ทำให้รายได้จากภาคการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งประเทศ

นายกรัฐมนตรีระบุ วันนี้ประเทศไทยจะถูกกระตุ้นครั้งใหญ่ เงินสดถึงมือคนไทย ระบบเศรษฐกิจจะถูกเติมเงินหมุนเวียนกว่า 145,552.40 ล้านบาท  สร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจลูกใหญ่ลูกแรก ที่ทำให้คนไทยได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจในภาพใหญ่ ต่อลมหายใจให้ประชาชนรายเล็กที่กำลังเดือดร้อน   นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจรอบนี้จะถึงมือประชาชนกลุ่มเปราะบาง จำนวน 14.55 ล้านคน

นายกฯประกาศลุย \"โครงการ Digital wallet\" หลังกดปุ่มโอนแจกเงิน 10,000 บาท

โดยแบ่งเป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 12.40 ล้านคน และกลุ่มคนพิการจำนวน 2.15 ล้านคน  ทุกคนจะได้รับเงินสดคนละ 10,000 บาท ผ่านบัญชีพร้อมเพย์ของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และผ่านช่องทางการรับเบี้ยเดิมของผู้พิการ ไม่ว่าจะเคยได้รับเงินผ่านบัญชีธนาคาร หรือได้รับเงินสดผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะได้รับเงินในวิธีการเดิม

“ที่สำคัญเงินจำนวนนี้ไม่มีเงื่อนไขในการใช้จ่ายแต่อย่างใด เมื่อเงินเข้าบัญชีสามารถนำไปใช้จ่ายได้ทันที เป็นวิธีการที่ง่ายที่สุด และถึงมือประชาชนมากที่สุดค่ะ ซึ่งการโอนเงินจะทยอยโอนให้ถึงมือพี่น้องประชาชนภายใน 4 วัน โดยเริ่มที่วันนี้เป็นวันแรก” นโยบายนี้จะช่วยกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจให้ประชาชน สร้างโอกาส สร้างความหวัง นำไปสู่การพัฒนาเพื่อต่อยอดคุณภาพชีวิต ให้พี่น้อง มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี” นายกรัฐมนตรี ย้ำ

นายกฯประกาศลุย \"โครงการ Digital wallet\" หลังกดปุ่มโอนแจกเงิน 10,000 บาท

นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า เงินหนึ่งหมื่นบาทเป็นจำนวนที่จะทำให้ประชาชนหลายคนมีโอกาสสร้างชีวิตใหม่ และเป็นเงินจำนวนที่มากพอเมื่อรวมกันหลายคน สามารถนำไปลงทุนค้าขาย ต่อยอดธุรกิจ พร้อมรับโอกาสดี ๆ ที่จะเข้ามา รัฐบาลเชื่อในศักยภาพของพี่น้องคนไทย เมื่อมีโอกาสมาถึงมือจะไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ รวมถึงพี่น้องหลายคนที่กำลังประสบความเดือดร้อนจากอุทกภัยจะได้รับการช่วยเหลือเพิ่มเติม ผ่านนโยบายนี้ได้อีกทางหนึ่ง

จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้วิดีโอคอลไปยังตัวแทนผู้ได้รับเงิน 10,000 บาท จากจังหวัดเชียงใหม่ สมุทรสาคร มุกดาหาร และจังหวัดอุตรดิตถ์ โดยนายกฯ ได้สอบถามพร้อมแสดงกล่าวความยินดีกับผู้ที่ได้รับเงิน ขอให้นำเงินที่ได้รับไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ทั้งนี้ ตัวแทนชาวบ้านได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลได้ที่ได้ผลักดันโครงการฯ ทำให้ประชาชนได้รับเงิน 10,000 บาท โดยจะนำเงินที่ได้รับไปใช้ซื้อของอุปโภค บริโภค และของที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน รวมถึงนำเงินไปเป็นทุนต่อยอดการค้าขายต่อไป

นายกฯประกาศลุย \"โครงการ Digital wallet\" หลังกดปุ่มโอนแจกเงิน 10,000 บาท

สำหรับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ เฟส 1 กำหนดแจกกลุ่มเปราะบาง 14.55 ล้านคน ประกอบด้วยผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐ ที่มีอยู่กว่า 12.4 ล้านคน และผู้พิการ กว่า 2.15 ล้านคน รวมเป็นงบประมาณที่ใช้อยู่ที่ประมาณ 1.45 แสนล้านบาท

โดยจะแจกเป็นเงินสด จำนวน 10,000 บาท โอนเข้าบัญชีผ่านช่องทางที่กำหนด ทั้งระบบพร้อมเพย์ผ่านหมายเลขบัตรประชาชน หรือบัญชีเงินฝากที่แจ้งความประสงค์ไว้ หรือช่องทางการรับเงินเบี้ยคนพิการ ตามที่ได้รับข้อมูลจากหน่วยงานต่าง ๆ โดย กรมบัญชีกลาง กำหนดโอนเงินในวันที่ 25 - 27 และ 30 กันยายนนี้

แบ่งการโอนเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้

  • วันที่ 25 กันยายน 2567 โอนเงินให้คนพิการ พร้อมกันทั้ง 2.15 ล้านคน และผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีเลขประจำตัวประชาชนลงท้ายด้วยเลข 0 ประมาณ 1.13 ล้านคน
  • วันที่ 26 กันยายน 2567 เลขประจำตัวประชาชนลงท้าย 1-3 ประมาณ 4.51 ล้านคน
  • วันที่ 27 กันยายน 2567 เลขประจำตัวประชาชนลงท้าย 4-7 ประมาณ 4.51 ล้านคน
  • วันที่ 30 กันยายน 2567 เลขประจำตัวประชาชนลงท้าย 8-9 ประมาณ 2.26 ล้านคน