ปัญหาเฉพาะหน้าได้แก่ การเร่งแก้ไขปัญหาน้ำท่วม เร่งช่วยเหลือประชาชน และเร่งจ่ายชดเชยเยียวยาผู้ที่ได้รับกระทบครั้งรุนแรงในรอบหลายสิบปี
ขณะที่ภาคธุรกิจ/โรงงานถูกสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศที่ไม่ได้มาตรฐานรุมถล่มตลาด กดการใช้กำลังผลิตยังต่ำ บางรายแข่งไม่ไหวต้องปิดโรงงาน ที่เหลือยังต้องเผชิญต้นทุนการผลิตสูงจาก ค่าไฟฟ้า ราคาวัตถุดิบ ดอกเบี้ย และที่กำลังจ่อเตรียมปรับขึ้นคือค่าแรงขั้นต่ำที่รัฐบาลมีนโยบายจะปรับขึ้นเป็น 400 บาททั่วประเทศ นำร่องในกิจการ/โรงงานไซซ์ L ที่มีคนงาน/พนักงานมากกว่า 200 คนขึ้นไป มีเป้าหมายจะปรับขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2567 แต่ล่าสุดการประชุมคณะกรรมการ หรือบอร์ดค่าจ้างไตรภาคีได้ล่มมาแล้ว 2 ครั้งจากองค์ประชุมไม่ครบ
ส่วนนัดหมายการประชุมครั้งที่ 3 วันที่ 24 ก.ย.67 ต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากคณะกรรมการไตรภาคี 15 คน ไม่สามารถครบองค์ประชุม จากที่นายเมธี สุภาพงษ์ ตัวแทนจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ขาดคุณสมบัติ เพราะเกษียณอายุงานมาตั้งแต่ปี 2566 ไม่สามารถเป็นตัวแทนกรรมการฝ่ายรัฐบาลได้ และการที่จะให้ทาง ธปท. แต่งตั้งกรรมการฝ่ายรัฐบาล คาดต้องใช้เวลาอย่างน้อย 15 วัน
ขณะที่นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการค่าจ้าง (บอร์ดค่าจ้าง) ชุดที่ 22 ก็จะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย. นี้ และคงต้องให้เป็นปลัดกระทรวงแรงงานคนใหม่ ทำหน้าเป็นประธานการประชุมบอร์ดค่าจ้างต่อ ดังนั้นโดยสรุปการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาท ไม่ทันในวันที่ 1 ต.ค. 2567 อย่างแน่นอน
อีกหนึ่งเรื่องใหญ่ที่กระทบต่อภาคการส่งออก และภาคท่องเที่ยวและบริการ ที่เป็นความหวังในการนำรายได้เข้าประเทศก้อนโต ต้องเผชิญกับเงินบาทที่มีทิศทางแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วจากต้นปีอยู่ที่ระดับ 35-36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ล่าสุด(24 ก.ย. 67) แข็งค่าอยู่ที่ระดับ 32 บาทปลาย ๆต่อดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเฉลี่ย 1% ต่อปี ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุจะกระทบรายได้ส่งออกไทยหายไปเกือบ 1 แสนล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นกว่า 0.5% ของ GDP โดยกลุ่มสินค้าส่งออกที่ได้รับผลกระทบมากอยู่ในกลุ่มสินค้าเกษตร ที่ใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นหลัก เช่น ข้าว ยางพารา ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ไก่ น้ำตาล ผลไม้ และอื่น ๆ ที่มีแนวโน้มจะถูกกดราคารับซื้อ จากโรงงานแปรรูปส่งออกขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือมีกำไรที่ลดลง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเวลานี้ ราคาข้าวเปลือกที่ชาวนาขายได้ ได้ลดลงจากเดิมถึง 1,000-2,000 บาทต่อตัน สินค้าไก่ส่งออกรายได้หายไปเดือนละกว่า 1,000 ล้านบาท
ส่วนภาคท่องเที่ยวอาจได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่แลกเงินบาทได้ลดลง และจะลดการจับจ่าย จากรู้สึกว่าสินค้าและบริการของไทยแพงขึ้นตามค่าเงิน อาจส่งผลเลือกไปท่องเที่ยวประเทศอื่นที่ค่าเงินอ่อนกว่า และมีความคุ้มค่ามากกว่า
ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่ปัจจุบันอยู่ที่ 2.50% ต่อปี มีแรงกดดันหลังจากธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ได้ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.50% เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 4 ปี ซึ่งต้องจับตาการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทยในปลายปีนี้จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงตามหรือไม่
นักวิชาการประเมินว่าหาก กนง.ไม่ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างน้อย 0.25% จะส่งผลให้ค่าเงินบาทไทยอาจจะแข็งค่าขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 31-32 บาทต่อดอลลาร์ แต่หากมีการปรับลดดอกเบี้ยลงในอัตราดังกล่าวจะมีผลให้เงินบาทไทยอ่อนค่าลงไปอยู่ที่ระดับ 3.50-34.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคการส่งออกของไทยกลับมามีความสามารถในการแข่งขันที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ 3 เรื่องใหญ่ทั้งเงินบาทแข็งค่า ดอกเบี้ยไทยที่ยังสูง ขณะที่รัฐบาลมีความพยายามจะปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำตามที่ได้หาเสียงไว้ ทั้ง 3 เรื่อง หากไม่ได้รับการกำกับดูแลที่เหมาะสม จะฉุดรั้งความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมต่อไป