วิจัยกรุงศรี ธนาคารกรุงศรีอยุธยา วิเคราะห์ภาพรวมแนวโน้มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีไทย ตั้งแต่ปี 2567 -2569 โดยสรุปเบื้องต้นระบุว่าอุตสาหกรรมปิโตรเคมีมีแนวโน้มกระเตื้องขึ้นในปี 2567 อานิสงส์จากเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวตามภาคท่องเที่ยวและการบริโภค อย่างไรก็ดี ราคาและ Spread โดยรวมจะปรับขึ้นได้ไม่มาก ผลจากภาคการผลิตและภาคส่งออกของไทยฟื้นตัวไม่เต็มที่ และปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง กดดันอุปสงค์กลุ่มสินค้าคงทนและอุตสาหกรรมปลายน้ำอื่นๆ
ขณะที่ปี 2568 และ 2569 ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและ Spreads จะปรับดีขึ้นในหลายผลิตภัณฑ์ ผลบวกจากเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่องและราคาวัตถุดิบตั้งต้น (Naphtha) ปรับลดลง แต่อุปสงค์ของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับผลิตภัณฑ์ปลายทางของปิโตรเคมียังมีแนวโน้มเติบโตช้า ท่ามกลางอุปทานส่วนเกินของผลิตภัณฑ์ (อาทิ Ethylene Propylene PE PP และ PX ) ส่งผลให้ปี 2567-2569 การบริโภคผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในประเทศและปริมาณส่งออกจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1.0-2.0% ต่อปี
ตลาดปิโตรเคมีของไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวกระเตื้องขึ้นในปี 2567 อานิสงส์จากเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะเติบโต 2.4% เทียบกับ 1.9% ปี 2566 ตามการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวและการบริโภค ทำให้มีความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มบรรจุภัณฑ์จากอุตสาหกรรมปลายน้ำ (อาทิ อาหาร เครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล และยา)
ขณะที่ปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ หนุนการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อตอบสนองความต้องการซื้อที่ยังมีอยู่ ปัจจัยข้างต้นกระตุ้นให้ผู้ประกอบการเพิ่มสินค้าคงคลังหลังปรับลดลงในปีที่ผ่านมา จึงช่วยพยุงราคาและ Spread ของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีไม่ลดลงมาก
อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ โดยภาคการผลิตและส่งออกถูกกดดันจากเศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอตัวชัดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง และปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง (89.6% ของ GDP ณ ไตรมาสที่ 2 ปี 2567) กดดันอุปสงค์ของกลุ่มสินค้าคงทน อาทิ รถยนต์และอุตสาหกรรมปลายน้ำอื่นๆ เมื่อผนวกกับอุปทานส่วนเกินจากการขยายกำลังการผลิตใหม่ของผู้ประกอบการในภูมิภาคเอเชีย ทำให้ราคาและ Spread โดยรวมจะปรับขึ้นได้ไม่มาก
สำหรับปี 2568 และ 2569 คาดว่าราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและ Spreads จะปรับดีขึ้นในหลายผลิตภัณฑ์ โดยได้รับผลบวกจากเศรษฐกิจฟื้นตัวต่อเนื่องและราคาวัตถุดิบตั้งต้น (Naphtha) ปรับลดลง แต่อุปสงค์ของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับผลิตภัณฑ์ปลายทางของปิโตรเคมียังมีแนวโน้มเติบโตช้า ท่ามกลางอุปทานส่วนเกินของผลิตภัณฑ์โดยเฉพาะ Ethylene Propylene PE PP และ PX วิจัยกรุงศรีจึงคาดว่าปี 2567-2569 การบริโภคผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในประเทศและปริมาณส่งออกจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1.0-2.0% ต่อปี
(1) ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ที่ยืดเยื้อและอาจทวีความรุนแรงเป็นระยะ อาทิ สงครามรัสเซีย-ยูเครนและอิสราเอล-ฮามาส จะกระทบการขนส่งในทะเลแดง ซึ่งคิดเป็น 11% ของการไหลเวียนของการค้าโลก (ที่มา: IMF) อาจทำให้ปัญหาห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain disruption) กลับมา และต้นทุน Feedstock ผันผวนเป็นระยะ
(2) จีน (สัดส่วน 45% ของการบริโภคปิโตรเคมีโลก) มีแนวโน้มเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างต่อเนื่องในระยะยาว (Long-term structural slowdown) จากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร (Demographic shift) สู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging population) ผนวกกับรัฐบาลให้ความสำคัญกับการกระจายความมั่งคั่ง (Wealth redistribution) แทนการขยายสินเชื่อในภาคอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้ความต้องการปิโตรเคมีจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เพิ่มความเสี่ยงด้านอุปทานส่วนเกินอาจสูงขึ้น
(3) อุปทานส่วนเกินของบางผลิตภัณฑ์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากกำลังการผลิตใหม่ ทำให้การแข่งขันในภูมิภาคสูงขึ้น ซึ่งบางส่วนเป็นผลพวงจากสงครามการค้า อาทิ
(4) ข้อจำกัดทางการค้าประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate change) ซึ่งบางประเทศ (อาทิ สหรัฐ และสหภาพยุโรป) มีแนวทางควบคุมการนำเข้าผลิตภัณฑ์ที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกในปริมาณสูง ซึ่งครอบคลุมถึงปิโตรเคมีและผลิตภัณฑ์บางประเภทในห่วงโซ่การผลิต
(5) สนธิสัญญาด้านการจัดการพลาสติก (Global plastic treaty) ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศที่จัดทำขึ้นเพื่อแก้ไขวิกฤตมลพิษจากพลาสติก ผ่านแผนการกำจัดขยะพลาสติกขององค์การสหประชาชาติที่เรียกว่า “System change scenario” กำหนดเป้าหมายลดการปล่อยขยะพลาสติกสู่สิ่งแวดล้อมลง 80% ภายในปี 2583 จะส่งผลต่อประเทศไทยทั้งด้านการจัดการขยะพลาสติก การใช้และการผลิตพลาสติก ซึ่งจะกระทบต่ออุปสงค์ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในอนาคต (ปัจจุบันอยู่ระหว่างจัดทำ)
ที่มาข้อมูล