วันนี้ (17 ตุลาคม 2567) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงกรณีคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วานนี้มีมติ “ลดดอกเบี้ยนโยบาย” ลง 0.25% ต่อปี ว่า เป็นไปตามที่เราคาดหวังไว้
“การลดดอกเบี้ยเป็นการลดภาระ แน่นอนว่า การที่คนจะเข้าไปกู้ใหม่เพราะดอกเบี้ยถูกลง 0.25% คงไม่ใช่ประเด็น แต่อยู่ที่ว่าคนมีหนี้เยอะ ก็ได้แบ่งเบาด้วย รวมถึงมีผลต่อความเชื่อมั่น เพราะบรรดาเงินกู้ที่อยู่ที่ในตลาด โดยเฉพาะอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล หรือ บอนด์ยีลด์ ก็น่าจะมีผลต่อผู้ที่ลงทุนรุ่นเก่า ดังนั้น ทั้งหมดนี้จะเป็นผลในทางบวก”
นายพิชัย กล่าวว่า การที่กนง.ได้หยิบประเด็นที่เราควรพูดถึง คือหนี้บุคคลและหนี้เอสเอ็มอี ซึ่งมองว่า เรื่องนี้เราชี้ถูกที่แล้ว ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่ลดลงมา 0.25% จริง ๆ แล้วจะต้องมีสภาพคล่อง ดังนั้นต้องหาทางคุยกันต่อไป โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ เพื่อให้มีการปล่อยสภาพคล่องเข้ามาในตลาดมากขึ้น
“คิดว่าหลายเรื่องเป็นผลดีระดับหนึ่ง และคิดว่าแบงก์ชาติ จะหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาดู ก็ต้องขอบคุณที่ดูอย่างละเอียดรอบคอบ และหวังว่าจะดูต่อเนื่อง โดยเฉพาะตอนนี้ และดูว่าจะมีนโยบายต่อไปอย่างไร” นายพิชัย กล่าว
ส่วนสถานการณ์ในระยะต่อไปนั้น เห็นว่าต้องติดตามสองเรื่อง ประกอบด้วย
1.การติดตามอัตราดอกเบี้ยในต่างประเทศ ซึ่งต้องดูองค์ประกอบ แนวคิด วิธีคิด และแนวโน้มของประเทศที่มีผลต่อโลก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา และยุโรป ซึ่งจะต้องศึกษาติดตามอย่างใกล้ชิด
2.การติดตามอัตราเงินเฟ้อในปี 2567 นี้ คงไม่ถึง 1% ซึ่งหมายความว่า เราจะพลาดโอกาสในการทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นอีกเล็กน้อย เพราะเงินเฟ้อก็เป็นส่วนหนึ่งของการกระตุ้นภาคการผลิตทั้งหมด และติดตามเงินเฟ้อในปีหน้า หากคาดการณ์ว่าปีต่อ ๆ ไป จะมากกว่า 1% ก็ต้องฝากให้คิดแล้ว และดูข้อเท็จจริงให้มากขึ้น
เมื่อถามว่า การประชุมครั้งหน้า คาดหวังหรือไม่ว่าจะมีการลดดอกเบี้ยต่อเนื่องมากว่า 0.25% นายพิชัย กล่าวว่า เราก็ต้องดู เพราะเศรษฐกิจของเราผูกกับเศรษฐกิจโลกค่อนข้างมาก เราต้องปรับปรุงภายในอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ต้องติดตามต่อเนื่อง ว่าสถานการณ์ในต่างประเทศจะมีแนวโน้มอย่างไร ซึ่งคณะกรรมการ ต้องคิดให้หนักว่าจะเป็นอย่างไร
เมื่อถามว่า คิดว่าปัจจัยอะไรทำให้ ธปท.พิจารณาลดดอกเบี้ย ทั้งที่ผ่านมารัฐบาลขอให้ลดมาตลอด นายพิชัย กล่าวว่า ต้องไปถามคณะกรรมการ ธปท. เมื่อถามยํ้าว่า เพราะมีความเชื่อมั่นต่อนโยบายหรือตัวนายกรัฐมนตรีหรือไม่ นายพิชัย ไม่ตอบคำถามนี้ แต่กล่าวว่า คิดว่าจากนี้ไปทุกอย่างจะดีขึ้นเรื่อย ๆ
ส่วนกรอบเงินเฟ้อควรปรับให้อยู่ที่ 2-3% หรือไม่นั้น นายพิชัย กล่าวว่า ก็คาดหวังอย่างนั้น หากเราอยากช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้น ก็ต้องตั้งให้สูงกว่าปัจจุบัน เพราะถ้าตํ่ากว่า 1% ตนคิดว่าคงไม่ได้ และเมื่อถามว่า จำเป็นต้องปรับในปีนี้หรือไม่ รองนายกฯ กล่าวว่า ปกติเราตกลงกันเป็นปีต่อปีอยู่แล้ว และช่วงนี้ก็ใกล้สิ้นปี ก็ต้องมาคุยกัน ทุกฝ่ายต้องเตรียมข้อมูลเพื่อมาพิจารณาต่อไป