ธุรกิจกลางคืนทรุด ผับ-ร้านค้าย่านข้าวสาร เซ้งกิจการเพียบ

17 ก.ค. 2567 | 06:02 น.
อัพเดตล่าสุด :17 ก.ค. 2567 | 07:18 น.

ธุรกิจกลางคืนส่อล้มเป็นโดมิโน่ คนไทยรัดเข็มขัด ลดปาร์ตี้ ย่านบันเทิงดัง “ถนนข้าวสาร” นักท่องเที่ยววูบ เงินหายเกินครึ่ง จี้รัฐปลดล็อกกฎหมาย จัดโซนนิ่งขยายเวลาเปิดผับบาร์ถึงตี 4

นายสง่า เรืองวัฒนกุล นายกสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจถนนข้าวสาร เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ธุรกิจกลางคืน ร้านอาหาร แหล่งแฮงค์เอาท์ ถือเป็นธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเมนท์ ที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มสินค้าที่ไม่จับเป็น ดังนั้นเมื่อเศรษฐกิจไม่ดี ผู้บริโภคต้องรัดเข็มขัด ธุรกิจกลางคืนจะกลายเป็นด่านแรกที่ได้รับผลกระทบ เห็นได้จากร้านค้า ผับ บาร์ ในย่านถนนข้าวสารที่พบว่าในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 ทยอยเซ้งกิจการกว่า 10% มากกว่าช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน 1 เท่าตัว

ในไตรมาส 1 เป็นไตรมาสที่ส่งสัญญาณบวก ถนนข้าวสารคึกคัก เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นมีทั้งเทศกาลปีใหม่ ตรุษจีน กลุ่มนักท่องเที่ยวหลักคือนักท่องเที่ยวจากยุโรป ส่วนนักท่องเที่ยวเอเชียทั้งจีน เกาหลี ญี่ปุ่น มีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิดราว 30% แต่ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี แต่พอเข้าช่วงไตรมาส 2 และไตรมาส 3 เริ่มเป็นช่วงโลว์ซีซั่นนักท่องเที่ยวไม่เข้ามาตามเป้า คนไทยเองก็รัดเข็มขัดแน่น

ธุรกิจกลางคืนทรุด ผับ-ร้านค้าย่านข้าวสาร เซ้งกิจการเพียบ

“ถนนข้าวสารได้ชื่อว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวกลางคืนขวัญใจชาวต่างชาติ มีสัดส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 80% และคนไทย 20% แต่ในสถานการณ์ ณ ปัจจุบัน นักท่องเที่ยวที่มาแฮงค์เอ้าท์ในย่านข้าวสารลดลงอย่างเห็นได้ชัด ส่วนคนไทยจากเดิมที่นิยมมาเที่ยวในวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เป็นหลักวันใดวันหนึ่งของสัปดาห์โดยเฉลี่ย 1 ครั้งต่อสัปดาห์ แต่ปัจจุบันค่าเฉลี่ยกลายเป็น 1 ครั้งต่อ 2 สัปดาห์”

นายสง่า กล่าวอีกว่า บรรยากาศในย่านถนนข้าวสารในขณะนี้ ร้านค้า ผับ บาร์อยู่ไม่ไหวถอนตัวออกไปแล้วราว 10% ซึ่งตัวเลขดังกล่าวนั้นถือเป็นสัญญาณอันตราย เนื่องจากถนนข้าวสารถือเป็นแหล่งที่ผู้ประกอบการรายใหม่ ๆ อยากลงทุนมากที่สุด เนื่องจากความคึกคักของการท่องเที่ยว แต่ปัจจุบันผู้ประกอบการโบกมือลา และผู้ประกอบใหม่ ๆ ไม่กล้าเสี่ยงลงทุน การจองห้องพักจากเดิมมีเงินสะพัดกว่า 20 ล้านบาทต่อวัน ปัจจุบันอยู่ที่ 10 ล้านบาท หายไปเกิน 50%

 “สถานการณ์ถนนข้าวสารในครึ่งปีหลัง ถ้ากลุ่มนักท่องเที่ยวจีนกลับมาแตะ 5 ล้านคนก็เป็นสัญญาณที่ดี อีกกลุ่มที่น่าสนใจคือนักท่องเที่ยวเกาหลี นอกจากปัจจัยเรื่องการท่องเที่ยวที่ต้องลุ้นจนหืดขึ้นคอว่าจะแตะตามเป้าหมายได้หรือไม่ ซึ่งต้องลุ้นแบบเดือนต่อเดือน ยังมีปัจจัยสำคัญอย่าง สภาวะเศรษฐกิจในไทย กำลังซื้อลดลง คนไทยรัดเข็มขัดมากขึ้นด้วย”

 อย่างไรก็ดี ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รวมถึงการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้อัพเดทสถานการณ์ท่องเที่ยวล่าสุดในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2567 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเที่ยวไทยทั้งสิ้น 17,501,283 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วประมาณ 825,541 ล้านบาท โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. จีน 3,439,482 คน 2. มาเลเซีย 2,435,960 คน 3. อินเดีย 1,040,069 คน 4. เกาหลีใต้ 934,983 คน และ 5. รัสเซีย 920,989 คน

นอกจากนี้ยังพบว่า ระหว่างวันที่ 24-30 มิถุนายน 2567 มีนักท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวในเกือบทุกกลุ่ม โดยนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะใกล้ (Short haul) มีจำนวน 499,554 คน หรือเพิ่มขึ้น 2.01 % จากสัปดาห์ก่อนหน้า ตามการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียตะวันออก อาทิ ไต้หวัน เกาหลี และจีน จากหลายปัจจัย เช่น การจัดงาน Pride month 2024 ตลอดจนมาตรการวีซ่าฟรี ที่ยังคงมีผลช่วยให้นักท่องเที่ยวตัดสินใจเดินทางได้ในเวลาอันสั้น สอดคล้องกับการจองโรงแรมในย่านถนนข้าวสาร โดยคาดว่าไตรมาส 3 มีอัตราการจองที่พักน้อยลงกว่าช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้า 40%

“หน้าที่ของผู้ประกอบการคือทำอย่างไรให้นักท่องเที่ยวจ่ายเงินมากขึ้น และหน้าที่ของรัฐบาลคือการดูแลภาพลักษณ์ประเทศเพื่อให้นักท่องเที่ยวเลือกมาเที่ยวไทยมากขึ้น รัฐบาลต้องเดินเกมปลดล็อกข้อกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการท่องเที่ยวและมีนโยบายใหม่ ๆ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวเพื่อเป็นฟันเฟืองต่อไปยังภาคธุรกิจอื่น ๆ

หากภาครัฐต้องการฟื้นเศรษฐกิจ กระตุ้นการท่องเที่ยว ธุรกิจร้านอาหาร ผับ บาร์ กลางคืน ธุรกิจบริการอย่างโรงแรม ข้อที่ควรทำได้เลยคือ การปลดล็อกห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเวลา 14.00 - 17.00 น. ซึ่งกฎหมายฉบับนี้เกิดมานานแล้วกว่า 50 ปี และถูกนำมาประยุกต์ใช้จนถึงปัจจุบัน ทำให้เมืองท่องเที่ยวต่างๆ ไม่สามารถจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้”

นายสง่า ย้ำว่า รัฐควรขยายเวลาการเปิด-ปิดผับ บาร์ ขยายเวลาเปิดร้านถึง 04.00 น. โดยวางโรดแมปแบ่งโซนนิ่ง ซึ่งโซนนิ่งที่ว่าต้องเป็นโซนนิ่งใหม่ ๆ ที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวมากพอ อยู่ย่านดังใจกลางกรุง เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายให้มากขึ้นและเอื้อต่อผู้ประกอบการ ทำให้แข่งขันให้ง่ายขึ้น