นายนิตย์ อุ่ยเต็กเค่ง รองประธานหอการค้าจังหวัดระนอง เปิดเผยว่า โครงการศึกษาวางแผนแม่บท เพื่อพัฒนาท่าเรือสำราญขนาดใหญ่ และสำรวจออกแบบท่าเรือสำราญขนาดใหญ่ บริเวณทะเลชายฝั่งอันดามัน มีความคืบหน้าอย่างน่าสนใจมาก เมื่อกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม แจ้งว่าได้ว่าจ้างที่บริษัทปรึกษา ให้ทำการศึกษา วางแผนแม่บท และสำรวจออกแบบเพื่อพัฒนาท่าเทียบเรือสำราญขนาดใหญ่บริเวณช่วยฝั่งอันดามันแล้ว
โดยต้องคัดเลือกบริเวณพื้นที่ชายฝั่งอันดามัน ที่มีความเหมาะสมที่จะพัฒนาเป็นท่าเทียบเรือรองรับเรือสำราญขนาดใหญ่ ศึกษาความเหมาะสมทางเศรษฐกิจ วิศวกรรม สิ่งแวดล้อม และสังคม พร้อมทั้งประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ออกแบบก่อสร้างท่าเทียบเรือรองรับเรือสำราญขนาดใหญ่แบบครบวงจร และจัดทำรายงานผลการศึกษา และวิเคราะห์ให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการพัฒนาท่าเทียบเรือรองรับเรือสำราญขนาดใหญ่
นายนิตย์ กล่าวต่อว่า ความคืบหน้าดังกล่าว สร้างบรรยากาศที่ดีต่อพื้นที่อันดามัน โดยเฉพาะ จ.ระนอง ที่กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาที่สำคัญ คือการเป็นเมืองท่องเที่ยวสุขภาพระดับโลก ซึ่งโครงการท่าเรือเรือสำราญขนาดใหญ่ จะส่งผลดีต่อแผนการขับเคลื่อนและพัฒนายุทธศาตร์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ทั้งยังส่งผลดีต่อภาคธุรกิจต่าง ๆ อีกมากมายในฝั่งอันดามัน
ในช่วงปี 2552-2562 การท่องเที่ยวด้วยเรือสำราญมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มจาก 17.8 ล้านคนในปี 2552 เพิ่มเป็น 29.7 ล้านคนในปี 2562 หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 12 ล้านคนในช่วงเวลา 10 ปี มีการสร้างงานกว่า 1 ล้านตำแหน่ง มีการจ่ายเงินเดือนและค่าแรงกว่า 6 หมื่นล้านเหรียญ อีกทั้งนักท่องเที่ยวเรือสำราญ ยังมีการใช้จ่ายประมาณ 400 ดอลลาร์ต่อวันต่อคน
ประเทศไทยมีชายฝั่งทะเลยาว 3,148 ม. มีศักยภาพในการเป็นเมืองท่าต้นทางของเรือสำราญ แต่ประเทศไทยกลับมีท่าเทียบเรือสำราญสำคัญเพียง 3 แห่ง คือภูเก็ต แหลมฉบัง และเกาะสมุย เท่านั้น ที่ผ่านมามีเรือสำราญที่เข้ามาในประเทศไทยจำนวนกว่า 120 เที่ยว มีจำนวนผู้โดยสารบนเรือเฉลี่ย 3,000 คน มีรายจ่ายเฉลี่ยวันละ 6,000 บาทต่อคน ทำให้ประเทศไทยมีรายได้ในธุรกิจการท่องเที่ยวต่อเนื่องจากเรือสำราญประมาณ 2.2 พันล้านบาทต่อปี
บริเวณชายฝั่งอันดามันมีเรือสำราญที่นำนักท่องเที่ยวมาท่องเที่ยวตลอดทั้งปี แต่ยังคงขาดท่าเทียบเรือหลัก ที่รองรับเรือสำราญขนาดใหญ่ได้ ดังนั้น หากมีการพัฒนาท่าเทียบเรือรองรับเรือสำราญได้อย่างเต็มระบบ จะส่งผลให้นักท่องเที่ยวคุณภาพเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น ทำให้มีการจับจ่ายใช้สอย ค่าที่พัก ค่าอาหาร ของชำร่วย ของฝาก ของอุดโภคบริโภค สร้างรายได้แก่ประชาชน และผู้ประกอบการธุรกิจการท่องเที่ยวในพื้นที่ เพิ่มขึ้นตามไปด้วย