การเลือกตั้งประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(สทท.)คนใหม่ในวันที่ 3 ม.ค.66 ต้องถือว่าเป็นการเลือกตั้งที่มีสีสันมากที่สุดก็ว่าได้ ท่ามกลางแรงเชียร์อย่างดุเดือดในทั้ง 2 ฝั่งของผู้สมัคร 2 ราย “ชำนาญ ศรีสวัสดิ์” อดีตประธานสทท.ที่เสนอตัวลงแข่งขันต่ออีกสมัย และคู่ท้าชิงรายใหม่ “ภูมิกิตติ์ รักแต่งาม”ประธานที่ปรึกษาสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต และผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและพัฒนาธุรกิจ กลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ ภูเก็ต หนึ่งในผู้มีส่วนสำคัญในการผลักดัน “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์”
ผลการลงคะแนนเลือกตั้งในวันนี้ล่าสุดพบว่า “ชำนาญ ศรีสวัสดิ์” หรือ โกจง ได้นั่งตำแหน่งประธานสทท.ต่ออีกสมัย ประจำปี 2566-2568 โดยได้รับคะแนนเลือกตั้งเป็นเอกฉันท์
ทั้งนี้ผลการลงคะแนนเลือกตั้งประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย รอบแรก ประเภทเขตพื้นที่
รวม 164 คะแนน **หมายเหตุ:กระดาษเปล่า 1 ใบ**
ส่วนผลการลงคะแนนเลือกตั้งประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย รอบที่ 2 ประเภทสาขาวิชาชีพ
รวม 164 คะแนน **หมายเหตุ:กระดาษเปล่า 1 ใบ
นายชำนาญ ศรีสวัสดิ์ ประธานสทท. เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ"ว่าการเลือกตั้งในครั้งนี้ผมใช้แคมเปญหาเสียงว่า “โกจง ตัวจริงท่องเที่ยวไทย” เพราะผมไม่เพียงแต่อยู่ในธุรกิจด้านการท่องเที่ยวมาตลอดชีวิตเท่านั้น แต่ยังทำงานในสมาคมด้านการท่องเที่ยวต่างๆต่อเนื่อง ก่อนมานั่งเก้าอี้ประสานสทท.เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาด้วยซ้ำ การตัดสินใจลงชิงตำแหน่งนี้ต่ออีกสมัย ต้องการขับเคลื่อนการทำงานให้มีความต่อเนื่อง และจากประสบการณ์ที่ผ่านมา รวมถึงการเดินสายพบผู้ประกอบการท่องเที่ยวทั่วประเทศ ทำให้รู้ว่าสทท.ต้องมีกลยุทธอย่างไรในการขับเคลื่อน เพื่อฟื้นทางรอดท่องเที่ยวไทย
หัวใจหลักของการท่องเที่ยวหลังโควิด คือ “พลิกฟื้นการท่องเที่ยวไทย ต้องพลิกฟื้นซัพพลาย ไซด์ ให้เกิดขึ้นให้ได้” ไม่งั้นการท่องเที่ยวไม่มีวันฟื้น ซึ่งการทำงานของสทท.ผมจึงไม่ได้มองแค่บริษัทใหญ่ แต่มองในภาพรวมด้านการท่องเที่ยว ที่ต้องผลักดันให้รายเล็กอยู่รอดได้ นโยบายของผมจึงเน้น 4 กลยุทธ ได้แก่
1.เติมทุน ซึ่งที่ผ่านมาเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่จะเข้าแหล่งเงินจากสถาบันการเงินและโครงการต่างๆของภาครัฐ การผลักดันให้รัฐบาลจัดตั้งกองทุนท่องเที่ยว ก็เป็นสิ่งที่ผมจะผลักดันต่อ
2.เติมความรู้ เน้นเรื่องการรีสกิล-อัพสกิล เพราะคนการทำงานหลังโควิดไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
3.เติมลูกค้า ซึ่งวันนี้ไทยมีนักท่องเที่ยวกลับมาแค่ 10 ล้านคน จาก 40 ล้านคน ทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจ ซึ่งเป็นซัพพลาย ไซด์ในธุรกิจท่องเที่ยว กว่า 75% ยังย่ำแย่อยู่ จึงต้องผลักดันการเพิ่มขึ้นของตลาดต่างชาติและการเดินทางเที่ยวในประเทศต่อเนื่อง
4.เติมนวัตกรรม เน้นการใช้เทคโนโลยีมาสร้างโอกาสในการขายให้แก่ผู้ประกอบการ
ขณะเดียวกันผมยังมองเรื่อง “การพัฒนาท่องเที่ยวสู่ความยั่งยืนในทุกมิติ” คนตัวเล็กตัวใหญ่ต้องได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวทั้งเมืองหลักและเมืองรอง ซึ่งจะต้องคิดใหม่ทำใหม่ด้วยการ Re-design สินค้าที่ตอบโจทย์ยุคอนาคต เช่น บางพื้นที่อาจไม่มีจุดขายด้านการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่ง การสร้างแหล่งท่องเที่ยวMan-Made จึงต้องมี
สุดท้ายผมมองว่า “ต้องสร้างให้การท่องเที่ยวเป็นวาระแห่งชาติ” เนื่องจากการท่องเที่ยวเกี่ยวข้องกับทุกกระทรวง และสร้างจีดีพีให้ประเทศได้ถึง 20% หากมีนายกรัฐมนตรีนั่งหัวโต๊ะเคาะโต๊ะ ก็จะทำให้การแก้ปัญหาหรือการขับเคลื่อนด้านการท่องเที่ยวเป็นกลไกที่กระตุ้นเศรษฐกิจได้ดีมากกว่าที่เป็นอยู่