ชงโมเดล “อินโดฯ-มาเลย์-สหรัฐ” เพิ่มใช้ B100 เร่งแตกไลน์อุตฯ แก้ปาล์มราคาตก

14 มิ.ย. 2567 | 07:17 น.

ชงโมเดล “อินโด-มาเลย์-สหรัฐฯ” เพิ่มสัดส่วนใช้ B100 ในนํ้ามันดีเซล จี้เร่งแตกไลน์อุตสาหกรรมต่อเนื่องเพิ่มใช้น้ำมันปาล์ม ชี้ได้ 2 เด้ง แก้ราคาปาล์มตก ได้แต้มต่อช่วยภาคอุตฯ ลดภาษีคาร์บอน ระบุผู้ค้ามาตรา 7 ให้ราคา ตํ่ากว่า ที่ สนพ.กำหนดจากผู้ผลิตแข่งขันสูง และให้ส่วนลด

สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) คาดการณ์ผลผลิตปาล์มนํ้ามันปี 2567 อยู่ที่ 18.12 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่เฉลี่ย 2.84 ตัน ลดลงจากปี 2566 ที่มีผลผลิต 18.27 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่เฉลี่ย 2.92 ตัน หรือลดลงร้อยละ 0.82 และร้อยละ 2.74 ตามลำดับ เนื่องจากในช่วงปลายปี 2565 ถึงเดือนพฤษภาคม 2566 ต้นปาล์มนํ้ามันได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศร้อนและแห้งแล้ง และในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2566 ถึงต้นปี 2567 สภาวะเอลนีโญมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ปริมาณนํ้าฝนไม่เพียงพอ ต้นปาล์มนํ้ามันไม่สมบูรณ์การออกทะลายที่จะเก็บในปี 2567 ลดลง

 

ชงโมเดล “อินโดฯ-มาเลย์-สหรัฐ” เพิ่มใช้ B100 เร่งแตกไลน์อุตฯ แก้ปาล์มราคาตก

อย่างไรก็ตามผลผลิตปาล์มนํ้ามันปีนี้จะออกสู่ตลาดมากที่สุดตั้งแต่เดือนมีนาคม-มิถุนายน คิดเป็นร้อยละ 38 ของผลผลิตทั้งหมด ขณะที่ระดับราคาที่เกษตรกรขายได้มีแนวโน้มปรับตัวลดลง จากกิโลกรัม (กก.) ละ 5.45 บาท ในเดือนมีนาคม เหลือ กก.ละ 3.88 บาท ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นราคาตํ่ากว่า 4 บาท ในรอบ 3 ปี ล่าสุดกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ใช้กฎหมายบังคับให้ราคารับซื้อผลปาล์มนํ้ามันหน้าโรงงานไม่ตํ่ากว่า กก.ละ 4.80 บาท

 

 

ชงโมเดล “อินโดฯ-มาเลย์-สหรัฐ” เพิ่มใช้ B100 เร่งแตกไลน์อุตฯ แก้ปาล์มราคาตก

ขณะที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ(10 มิ.ย. 67) ให้ผู้ค้านํ้ามันตามมาตรา 7 ต้องซื้อไบโอดีเซล (B100) ตามราคาประกาศของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาปาล์มตกตํ่า (ไม่ตํ่ากว่าราคากลางที่ประมาณ 35 บาท /กก.) จากที่ผ่านมามีผู้ค้านํ้ามันตามมาตรา 7 รับซื้อ B100 ตํ่ากว่าราคาที่กำหนด ทำให้ประหยัดต้นทุนรวมกันได้กว่า 4,000 ล้านบาทต่อปี

 

 

ศาณินทร์ ตริยานนท์

นายศาณินทร์ ตริยานนท์ นายกสมาคมผู้ผลิตไบโอดีเซลไทย และกรรมการคณะกรรมการนโยบายปาล์มนํ้ามันแห่งชาติ (กนป.) เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า จากราคา B100 ที่ประกาศโดย สนพ. กระทรวงพลังงานได้มีการคำนวณราคาตามกลไกตลาดอยู่แล้ว แต่เนื่องจากมีผู้ผลิต B100 จำนวนมาก ทำให้มีกำลังการผลิตเหลือจำนวนมาก เกิดการแข่งขันในตลาดสูง และให้ส่วนลดราคาแก่ผู้ค้านํ้ามันมาตรา 7

 

ชงโมเดล “อินโดฯ-มาเลย์-สหรัฐ” เพิ่มใช้ B100 เร่งแตกไลน์อุตฯ แก้ปาล์มราคาตก

 

“ในความเห็นส่วนตัว ไม่ใช่เรื่องการกดราคา แต่เป็นสภาวะตลาด เพียงแต่ว่าก็มีเหตุผลทำให้ผู้ผลิตนํ้ามันไบโอดีเซล ต้องพยายามซื้อวัตถุดิบให้ถูกที่สุด ไม่เช่นนั้นแข่งขันไม่ได้ จึงเป็นที่มาของรัฐบาลได้กำหนดนโยบายในหลายเรื่องคราวเดียวกันที่จะช่วยประคองให้เกิดความสมดุลมากขึ้น”

 

ชงโมเดล “อินโดฯ-มาเลย์-สหรัฐ” เพิ่มใช้ B100 เร่งแตกไลน์อุตฯ แก้ปาล์มราคาตก

นอกจากนี้ในภาคส่วนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงพลังงาน หรือกระทรวงอุตสาหกรรม ไม่เห็นด้วยที่จะเพิ่มสัดส่วนบี100 ในนํ้ามันดีเซล จากกองทุนนํ้ามันเชื้อเพลิงเวลานี้ติดลบถึง 1.11 แสนล้านบาท (ข้อมูล ณ 2 มิ.ย.67) และแนะนำให้นำไปใช้ในอุตสาหกรรมปลายนํ้าอื่น ๆ ที่อยู่ระหว่างการศึกษา อาทิ นํ้ามันหล่อลื่น, ชีวภาพจากนํ้ามันปาล์ม และนํ้ามันหม้อแปลงไฟฟ้า เป็นต้น แต่ทั้งนี้มีความยากอยู่ 2-3 เรื่อง คือ 1.อุตสาหกรรมข้างต้น มีเป้าหมายเพื่อการส่งออกด้วย หมายความว่าต้นทุนวัตถุดิบต้องแข่งขันได้ แต่ที่ผ่านมาราคาวัตถุดิบในประเทศมีความผันผวน บางช่วงราคาสูง ไม่สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ จะทำให้อุตสาหกรรมข้างต้นค่อนข้างเกิดยาก แต่ก็มีความพยายามที่จะผลักดัน

 

 

ส่วนที่ 2 เป็นประเด็นที่ถกเถียงกันมากคือไบโอดีเซลที่ในแต่ละปีมีการใช้หลายล้านตัน การที่จะนำอุตสาหกรรมอะไรมารองรับ หรือทดแทนกับปริมาณปาล์มนํ้ามันที่เกษตรกรที่ผลิตได้ยากมาก และ 3.การใช้ไบโอดีเซลทั่วโลก ตรงกับข้ามกับประเทศไทย คือมีการใช้เพิ่มขึ้นทุกปี และเพิ่มขึ้นทุกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย สหรัฐอเมริกา มาเลเซีย เกาหลีใต้ จีน อินเดีย และญี่ปุ่น เป็นต้น ทั้งนี้ในหลายประเทศประกาศว่า ต่อให้มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น แต่ก็จะเพิ่มสัดส่วนการใช้นํ้ามันไบโอดีเซลไปเรื่อย ๆ เช่น อินโดนีเซียจาก B35 เป็น B40 เป็นต้น

 

ชงโมเดล “อินโดฯ-มาเลย์-สหรัฐ” เพิ่มใช้ B100 เร่งแตกไลน์อุตฯ แก้ปาล์มราคาตก

 

“ประเทศเหล่านี้ไม่ได้มองแค่ราคาต้นทุนพลังงานเพียงอย่างเดียว แต่ยังมองถึงการช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ ที่เป็นสาเหตุของภาวะเรือนกระจกลงได้ถึง 78.5% เทียบกับการใช้ไบโอดีเซล คิดเป็นมูลค่ากว่า 8,000 ล้านบาท (อ้างอิงปี 2555) ซึ่งตัวนี้ประเทศต่างๆ ก็คิดว่าเป็นเครื่องมือที่จะช่วยได้ในการลดภาษีให้กับสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะในระยะยาวจะมีเรื่องการเก็บภาษีคาร์บอน ในส่วนนี้จะเป็นตัวช่วยภาคอุตสาหกรรมการผลิตด้วย ซึ่งเกษตรกร รัฐและเอกชน ต้องร่วมมือกัน เราถือว่าโชคดีและหลายประเทศอิจฉา เพราะมีวัตถุดิบปาล์มที่ปลูกได้เองในประเทศ และเป็นโอกาสที่จะลดคาร์บอนได้ดีกว่าประเทศอื่น” นายศาณินทร์ กล่าว