"ชัยทัต กมลวิศิษฏ์" ผู้อำนวยการ บริษัท ไมล์สโตน ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด และ ภรรยา "ฐิตินารถ กมลวิศิษฏ์" ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ก็มีความคิดและความต้องการลักษณะนี้เช่นกัน จนทำให้กลายเป็นจุดกำเนิดของ ธุรกิจด้านอาหารและเครื่องดื่ม "St.Marc Cafe" (เซ้นต์ มาร์ค คาเฟ่) คาเฟ่แบรนด์ดังจากญี่ปุ่นที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย
เห็นนามสกุลของหนุ่มสาวคู่นี้แล้วคงจะคุ้นๆ กัน "ชัยทัต" คนหนุ่มวัย 24 ปี เป็นหลานชายของนักการเมืองคนดัง ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ เขาจบการศึกษาระดับปริญญาตรีด้าน Graphic Design จาก Falmouth University ประเทศอังกฤษ และใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศมาตั้งแต่อายุ 12 ขวบ ตอนที่จบกลับมาเขามีโอกาสได้ทำงานตามสาขาที่ร่ำเรียนมาที่ บริษัท เดนท์สุ (ประเทศไทย) จำกัด ในตำแหน่ง Digital Communication Planner 1 ปี จากนั้นจึงออกมาเรียนรู้ธุรกิจของครอบครัว คือ บริษัท บีเจ ยีนส์ (ไทยแลนด์) จำกัด ในตำแหน่งดีไซน์เนอร์
ในระยะเวลา 1 ปี คนหนุ่มคนนี้ ช่วยพัฒนาและปรับภาพลักษณ์แบรนด์ จากแบรนด์ยีนส์เดิม คือ บิ๊กจอห์น มาเป็น บีเจ ยีนส์ ด้วยลุกที่ทันสมัยและโฉบเฉี่ยวมากขึ้น แต่อย่างที่บอกว่าคนหนุ่มสาวยุคนี้ มักไขว่คว้าหาสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบ แล้วออกมาท้าพิสูจน์ทำด้วยตัวเอง "ชัยทัต" เริ่มมองหาธุรกิจที่ตัวเองสนใจ ระหว่างช่วยงานของครอบครัว และด้วยความที่เป็นคนชอบเดินทาง ชอบเรื่องอาหารเป็นทุน ทำให้เขาสนใจคาเฟ่แบรนด์ St.Marc Cafe ที่ญี่ปุ่นที่เขาเคยได้ไปลิ้มชิมรสมาแล้ว
การที่เลือกเริ่มต้นสร้างธุรกิจของตัวเองด้วยธุรกิจ จึงถือเป็นการเริ่มต้นจากความหลงใหลในการทำอาหารและความชื่นชอบส่วนตัว แต่เขาก็ยอมรับว่าการเริ่มต้นทำธุรกิจด้วยตัวเองไม่ใช่เรื่องง่าย แม้จะมีคุณพ่อ (ประดิษฐ์ กมลวินั่งทำหน้าที่เป็นประธานบริษัท และเป็นพี่เลี้ยงดูแลด้านการเงินและการลงทุนให้ แต่เมื่อเป็นธุรกิจทุกอย่างก็ต้องรอบคอบ
"การเป็นเจ้าของธุรกิจเอง ทุกอย่างเราต้องรอบคอบ เราต้องดูแลเรื่องการเงิน ผมสนใจและทำจริง ตั้งใจจริง เราไปเช็กทางออนไลน์ มีคนชื่นชอบแบรนด์นี้ ตัวดังที่สุด คือ ช็อกโกแลต ครัวซอง ก่อนทำเรารีเสิร์ช และให้เพื่อนๆ ลองชิม เพื่อให้ได้คำตอบจริง แล้วนำมาปรับปรุง"
การทำธุรกิจของ "ชัยทัต" จึงเริ่มต้นด้วยการศึกษาจริง ไปอบรมกับ St.Marc Cafe ที่ประเทศสิงคโปร์ ลงครัว ยืนหน้าร้าน ทำเองทุกอย่าง แม้จะได้เก่ง แต่มันทำให้เขารู้ทุกขั้นตอนของการทำร้าน St.Marc Cafe แห่งนี้ ซึ่งเขาถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ ที่ผู้บริหารควรรู้ทุกอย่างทุกขั้นตอน จึงจะสามารถเข้าใจการทำงานของลูกน้องหรือทีมงานได้ดี เขาให้ความสำคัญทั้งเรื่องของสินค้าต้องคุณภาพ มาตรฐานเดียวกับที่ญี่ปุ่น ในขณะที่ราคาก็ต้องเหมาะสมสำหรับคนไทย
การเลือกทำเลเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เขาให้ความสำคัญมาก และเขาก็โชคดีที่ได้เปิดสาขาแรกที่เซ็นทรัลเวิลด์ ในจุดเชื่อมต่อระหว่างห้างสรรพสินค้าและอาคารสำนักงาน "ชัยทัต" บอกว่า ที่ญี่ปุ่นเขามีอยู่ทั้งหมดกว่า 387 สาขา และต่างประเทศ อีกกว่า 20 สาขา เป้าหมายตอนแรกที่เจ้าของลิขสิทธิ์แบรนด์นี้ต้องการจากเขา คือ การขยายสาขาให้มากที่สุด แต่ในความเป็นจริง ตลาดประเทศไทยจะเปิดมากมายขนาดนั้นคงไม่ใช่ สิ่งที่เขาวางเป้าไว้จึงเป็น 40 สาขา ภายในระยะเวลา 8 ปี
[caption id="attachment_24196" align="aligncenter" width="600"] ชัยทัต กมลวิศิษฏ์[/caption]
เมื่อถามถึงความมั่นใจในการเริ่มต้นธุรกิจ เพราะด้วยพื้นฐานแล้ว เขาไม่ได้มีความรู้ด้านการตลาดมาก่อน ชายหนุ่มบอกว่า การได้ทำงานที่บริษัทเอเยนซีโฆษณามาก่อน ถือเป็นประสบการณ์ที่ดี และเขายังมีเพื่อนฝูงในแวดวงโฆษณาและการตลาดที่คอยให้ความรู้ รวมถึงคุณพ่อ ที่เป็นเหมือนต้นแบบในการทำงาน...ลงเรื่องบริหารก็คุยกับพ่อ พ่อสอนเรื่องการค้าขาย ไม่ใช่แค่การออกแบบอย่างเดียว ผมไปเรียนอังกฤษตั้งแต่เด็ก เขาสอนว่าอย่ากลัว เราเรียนผิดเรียนถูก
"การเริ่มตรงนี้ คือ เราได้เรียนรู้ การเรียนที่อังกฤษ คือ เราได้ความกล้า ที่เรียนมีในห้องแค่ 10 คน ทุกคนมีความคิดเห็น กล้าแสดงออก... แต่ความกล้าอย่างเดียวไม่ได้ เราต้องคำนึงถึงการลงทุน เราต้องรอบคอบมากๆ ไม่ใช่แค่กล้าแล้วทำได้ ทุกอย่างต้องคำนึงถึงต้นทุน และการติดต่อ เมื่อเรามียี่ห้อแล้ว ก็ต้องดูสถานที่ ว่ามันโอเคไหม และเราก็ต้องมีซัพพอร์ตที่ดี"
เป้าหมายในการทำธุรกิจของ "ชัยทัต" คือ ทุกก้าวต้องเดินไปอย่างมีความสุข เมื่อวันหนึ่งมองย้อนกลับมาแล้วสามารถยิ้มและหัวเราะกับสิ่งที่ผ่านมาได้ การทำอะไรต้องรักจริงและตั้งใจจริง การเริ่มต้นธุรกิจของเขาครั้งนี้ เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการเรียนรู้ตัวเอง ซึ่งเขายอมรับว่า ในวันนี้ก็ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองอยากทำอะไร ดังนั้นการกล้าที่จะออกมาลองทำธุรกิจ และมองหาอะไรใหม่ๆ เป็นการเปิดโอกาสให้ตัวเองได้เรียน และศึกษาความเป็นตัวตน และหาความตองการที่แท้จริงของตัวเองได้เป็นอย่างดี
สิ่งหนึ่งที่เขาได้นำความรู้ความสามารถของพ่อมาใช้ ก็คือ ความนิ่ง ความตั้งใจ และอดทน เพราะการที่เป็นเด็กเติบโตในยุโรป ทำให้ความคิดความอ่านหลายๆ อย่าง คิดเร็วทำเร็ว ใจร้อน ซึ่งไม่เหมาะกับการทำธุรกิจ
ในวันนี้ เขาต้องการทำสิ่งที่เขาออกมาเริ่มต้นด้วยตัวเองให้ดีเสียก่อน โฟกัสให้ชัด แล้วเดินหน้าไปตามเป้าหมาย การที่จะไปขยายแตกไลน์ไปทำสิ่งอื่นๆ "ชัยทัต" มองว่ายังไม่เหมาะสม เพราะการทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมๆ กัน อาจไม่ได้สิ่งที่ดี เหมือนกับสุภาษิตฝรั่งที่สอนว่า "อย่ากัดมากเกินไป เพราะเวลากลืนจะกลืนไม่ลง"
สำหรับธุรกิจเริ่มต้น จากที่ลงไปไปกว่า 100 ล้านบาท เขาคิดว่าต้องใช้เวลาประมาณ 2-4 ปี จึงจะเข้าที่และคืนทุน หลังจากนั้น เมื่อวางระบบทุกอย่างดี เห็นผลที่ชัดเจนแล้ว จึงค่อยขยับขยายไปมองอย่างอื่น นี่คือเป้าหมายของ "ชัยทัต กมลวิศิษฏ์" นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงอีกคนหนึ่งของเมืองไทย
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 35 ฉบับที่ 3,118
วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2558 - 2 มกราคม พ.ศ. 2559