ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา โลกได้เผชิญกับวิกฤตภาวะโลกร้อนด้วยอุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน โดย NASA ยืนยันว่า ทุกเดือนตั้งแต่มิถุนายน 2023 ถึงพฤษภาคม 2024 ได้ทำลายสถิติอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลก สร้างความตระหนกและหวั่นวิตกให้กับนักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพภูมิอากาศเป็นอย่างมาก
อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาสูงขึ้น 1.30 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของศตวรรษที่ 20 (1951-1980) ถือว่าเป็นการเพิ่มขึ้นที่รวดเร็วและรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์
บิล เนลสัน ผู้บริหาร NASA กล่าวว่า "เห็นได้ชัดว่าเรากำลังเผชิญกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ" ผลกระทบนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ตัวเลขบนกระดาษ แต่ส่งผลโดยตรงต่อชุมชนทั่วโลกที่กำลังเผชิญกับความร้อนรุนแรงอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อน
เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกร้อนกว่าระดับก่อนยุคอุตสาหกรรมมากกว่า 2 องศาเซลเซียส ในขณะที่ทางฝั่งสหรัฐอเมริกาเพิ่งบันทึกฤดูหนาวที่อบอุ่นที่สุดเท่าที่เคยมีมา
แม้ว่าปรากฏการณ์เอลนีโญที่เริ่มต้นในปี 2023 จะมีส่วนผลักดันให้อุณหภูมิสูงขึ้น แต่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า แนวโน้มนี้จะยังคงดำเนินต่อไป แม้เอลนีโญจะเริ่มอ่อนกำลังลงแล้วก็ตาม นั่นหมายความว่า เราอาจเห็นการทำลายสถิติอุณหภูมิต่อเนื่องไปอีกหลายเดือน
นอกจากสภาพอากาศบนบก ภาวะโลกร้อนยังส่งผลต่ออุณหภูมิในมหาสมุทรด้วยเช่นกัน จอช วิลลิส นักสมุทรศาสตร์จาก NASA เน้นย้ำว่า "มหาสมุทรเป็นตัวขับเคลื่อนภูมิอากาศของเรา" การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิผิวน้ำทะเลกำลังส่งผลกระทบรุนแรง โดยเฉพาะการเกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ทั่วโลก เนื่องจากมหาสมุทรครอบคลุมพื้นที่มากกว่าสองในสามของโลก ดังนั้น หากอุณหภูมิผิวน้ำทะเลเป็นอย่างไร พื้นที่ส่วนที่เหลือก็จะเปลี่ยนแปลงตาม
แม้จะมีหลักฐานชัดเจนถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่มนุษยชาติกลับยังคงปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ มีรายงานว่าโลกกำลังเผชิญกับอัตราการเพิ่มขึ้นของคาร์บอนไดออกไซด์ที่เร็วที่สุดในรอบ 50,000 ปี
เคท คาลวิน หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของ NASA สรุปสถานการณ์ได้อย่างชัดเจนว่า "เรากำลังเผชิญกับวันที่อากาศร้อนมากขึ้น เดือนที่ร้อนมากขึ้น ปีที่ร้อนมากขึ้น"
อ้างอิง:
ข่าวที่เกี่ยวข้อง