ผมเคยเปรยไว้ก่อนหน้านี้ว่า PITCHING คือ การพูดออกเสียงให้มีน้ำหนักที่เข้าใจชัดเจนทันทีว่า “พิ๊ช” แปลว่า “ขว้าง” หมายถึง “การโยนสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่น่าสนใจให้อีกฝ่ายหนึ่งรับไว้” ในที่นี้บ่งชี้ไปที่ ถ้อยคำของการสนทนา สังคมกำลังฮือฮาว่าเป็นคำพูดที่สั้นแต่ซึ้ง ฟังแล้วรู้สึกตรงกับ “จุดโดนใจ” ที่เขาอยากได้ยินมานานแล้ว
อย่างเช่น
ภรรยา บอกกับ สามี ด้วย โทนเสียงซอฟท์ร็อค ว่า “พี่จะซดเบียร์กันไปถึงไหน เลิกได้แล้วนะคะพี่”
สามี หันมาพูดกับ ภรรยา ด้วย โทนเสียงคลาสสิค ว่า “เบียร์กับเมียมันก็สำคัญพอกัน เลิกกันไม่ได้หรอก”
ภรรยาได้ฟังก็ยิ้มแย้มแจ่มใจโดยพลัน หันไปคว้าขวดเบียร์มาวางให้อีกสองขวด (ฮา)
มิน่า ปรมาจารย์ ขงจื๊อ ท่านกล่าวไว้ว่า “ผู้ชายต้องจริงจังจึงจะได้รับความเคารพ” แถมพกอีกด้วยว่า “บุคคลหรือสิ่งของที่ตลกเกินไปในลักษณะประชดประชัน คำนี้ใช้ในเชิงลบเพื่อแสดงความไม่เคารพต่อผู้อื่นที่เป็นคนตลกและขาดสติปัญญา” ผมไม่แน่ใจว่า ท่านปรมาจารย์ ขงจื๊อ หมายถึงผมด้วยหรือเปล่า (ฮา)
ขอบคุณรุ่นน้องที่ส่งสตอรี่เรื่องนี้มาให้อ่าน เรื่องของเรื่องนี้มีอยู่ว่า บอส มาเฟีย แค้น ฮันซุก เป็นเชฟประจำบ้าน ทะลึ่งรู้วิธียักยอก ทองคำ 50 แท่ง ทั้งๆ ที่ อ่านภาษาไทยไม่ได้ พูดภาษาไทยไม่เป็น ยกเว้น เขารู้ภาษามือ มือขวา ของ บอส มาเฟีย ตามไปจับตัวได้ตรงช่องทางธรรมชาติ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันซ่อนทองเอาไว้ที่ไหน
หลังจากโดนซ้อมจนไม่มีเสียงที่จะพูด บอส มาเฟีย เดินเข้ามานั่งกระดิกเท้าอยู่ในห้องใต้ดิน วางปืนไว้บนโต๊ะ แล้วเปล่ง คำสั่ง กับ มือขวา ว่า “เอ็งเค้นคอมันเลย ให้มันคายออกมาว่า มันเอาทองไปซ่อนไว้ที่ไหน?”
มือขวาใช้ภาษามือถาม ฮันซุก ว่า “มึงเอาทองคำ 50 แท่ง ไปซ่อนไว้ที่ไหน” ฮันซุก ตอบผ่านภาษามือว่า “ไม่รู้ว่าเมียเอาไปซุกไว้ที่ไหน คงจะหนีไปแล้วมั้ง” มือขวา บอก บอส มาเฟีย ว่า “มันไม่รู้ว่าเมียเอาไปฝากเอาไว้กับใคร!” บอส มาเฟีย ลุกขึ้นเดินเอาปืนมาจ่อตรงเป้าล่างของ ฮันซุก พร้อมกับขู่เอาเป็นเอาตายว่า “ขยี้มันอีกที ถ้าไม่มีคำตอบ กูไม่เอามันไว้”
มือขวา ของ บอส มาเฟีย ตะคอก ฮันซุก ด้วยภาษามืออีกหนหนึ่ง ว่า “มึงไม่บอกม่อยกระรอกแน่นอน” ฮันซุก เริ่มหวั่นไหวจึงตัดใจสารภาพว่า “”ผะ…ผม… ซุก…ซุก ไว้บนเพดานชั้นสอง ในห้องบ้านเมีย” บอส มาเฟีย ถาม มือขวา ว่า “มันบอกเอ็งว่าไงเนี่ย?” มือขวา ส่ายหัวแล้วบอกว่า “มันว่า ดวง บอส กำลังซวย ไม่กล้าฆ่ามันหรอก!” บอส มาเฟีย ฉุนกึ๊ก ยิง ฮันซุก ตายคาเก้าอี้
GURU อีสป ท่านมาเข้าฝันแล้วบอกผมว่า “คิดจะยืมมือใครก็ไม่แน่นอนเหมือนกับอาศัยมือของเราเอง เว้นเสียแตว่า ถ้าลูกน้องมี วัฒนธรรม เขาก็จะไม่สตอเบอรี่” (ฮา)
“วัฒนธรรม” คือ “ยาอายุวัฒนะ”
แดนใดที่ไม่มีการตัดไม้ทำลายป่า ยากนักที่ท้องถิ่นในดินแดนนั้นจะโดนน้ำโคลนกระโจนมณฑล ที่ใดมีต้นไม้ให้ร่มเงา เราจะมีอารมณ์สดชื่น ในอกในใจก็ไม่เร่าร้อน ยกเว้น วันหวยออก (ฮา)
คนใจร้อนแค่ไหนถ้าได้สายลมโชยมา เชื่อว่า “ความรู้สึกว่าเราเป็นคน” มันจะผกผัน “ความรู้สึกว่าเราคือมนุษย์” ตราบใดที่เรามีจิตเป็นมนุษย์ กริยามารยาทของเราจะ “สุภาพ คลี่ขจาย” ไว้เจอกันวันใดจะเลี้ยงกาแฟ นะพี่นะ (ฮา)
แง่มุมนี้ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า ธรรมชาติมีส่วนในการฟูมฟักให้มนุษย์คิดดี ความคิดงามนำมาซึ่งความเจริญ ก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็น สารตั้งต้น ให้ “วัฒนธรรม” เบ่งบาน หลังจาก “บาน” ได้ที่แล้วก็อย่า“ เบ่ง” (ฮา)
ปรมาจารย์ เหล่าจื๊อ จึงกล่าวอีกแง่มุมหนึ่งว่า “ถ้าท่านอยากรู้ธรรมชาติอันแท้จริงของท่าน ท่านควรจะติดตามกลับไปยังแหล่งกำเนิด คือ แม่ ของท่านเถิด เมื่อท่านพบแม่แล้ว ท่านก็จะมีโอกาสเป็นอิสระจากความทุกข์และความโศกเศร้า”
เพราะว่าสถิติการทำวิจัยส่วนใหญ่ยืนยันตรงกันว่า “มีแค่อ้อมกอดเดียวเท่านั้นที่ไม่เคยหักหลังลูก คืออ้อมกอดในอกแม่”
สำนวนของท่านจัดว่าเป็น “ประเด็น อายุวัฒนะ” เนื่องจาก ปรมาจารย์ เหล่าจื๊อ ท่านรื้อเอาความทรงจำมาทำเป็นโอสถโดยไม่ต้องแวะ อย. และ ร้านยา
“วัฒนธรรม” คือ “มีธรรมเป็นคู่มือกับการพัฒนา”
ผู้มีสิทธิ์ได้รับเงินเบี้ยเลี้ยงเดือนละ 600 บาท นามสมมุติว่า เดือน ท่านเล่าให้ผมฟังว่า ยามว่างหลังเกษียณ พี่ก็ทำเค้กแจกเพื่อนแก้เหงา แพ็คลงกล่องเสร็จก็เรียก คนขับรถ มาสั่งว่า เอาเค้กไปให้ “คุณแดง”
คนขับ ทำตามคำบัญชา สักพักก็กลับมารายงานว่า “มอบเค้กให้ คุณแดง แล้ว” เวลาผ่านไปสามชั่วโมง ทำไมถึงไม่มีเสียงโทรศัพท์มาบอกกล่าวกันบ้างเลยว่า อร่อยไหม พี่เดือน ร้อนใจ โทรไปสืบค้น ถาม คุณแดง ทันทีว่า
“หนูให้คนขับรถเอาเค้กไปส่งให้ อร่อยไหมล่ะ” คุณแดง ตอบว่า “ยังไม่เห็นกล่องเค้กเลยค่า…” ปรากฏว่า คนขับเอาเค้กไปให้ผิดคน พี่แดง คนที่ พี่เดือน พูดถึง คือ หัวหน้างานที่เคยทำงานร่วมกัน แต่ทว่า พี่แดง ที่ได้แอ้มเค้ก คือ ช่างทำผม (ฮา)
พี่เดือน ฉุนขาด ด่าเช็ดเลยนิ คนขับรถก็โมโห เถียงคอเป็นเอ็น
เห็นได้ชัดว่า ถ้าเราไม่เอา “วัฒนะโดยธรรม” มาเป็น วัฒนธรรม มันก็เบี้ยวไปเบี้ยวมาอย่างนี้แหละ