มลพิษทางอากาศจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 เป็นปัญหาที่หลายคนอาจจะมองข้าม แต่ความเป็นจริงแล้ว ฝุ่นละอองขนาดเล็กนี้มีผลกระทบทั้งต่อสุขภาพและเศรษฐกิจอย่างมหาศาล โดยเฉพาะในเมืองใหญ่เช่นกรุงเทพมหานคร ฝุ่น PM2.5 เป็นฝุ่นละอองที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเล็กกว่า 2.5 ไมครอน ซึ่งเล็กพอที่จะผ่านเข้าสู่ปอดและกระแสเลือดได้ผ่านการหายใจ
การสะสมของ PM2.5 ในร่างกายสามารถนำไปสู่โรคร้ายแรงหลายประการ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคระบบทางเดินหายใจ และแม้กระทั่งโรคมะเร็งปอด
ในบทความนี้ เราจะมาทำความเข้าใจผลกระทบที่ฝุ่น PM2.5 มีต่อสุขภาพของคนในกรุงเทพมหานคร รวมถึงต้นทุนทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากการสัมผัสฝุ่น PM2.5 โดยจะกล่าวถึงวิธีการคำนวณต้นทุนอย่างง่ายที่คนส่วนใหญ่จะสามารถเข้าใจได้ รวมถึงบทเรียนจากการศึกษาในต่างประเทศที่จะช่วยให้เราเห็นภาพรวมของปัญหานี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
PM2.5 คืออะไร และมีผลกระทบอย่างไร?
PM2.5 ย่อมาจาก Particulate Matter ที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเล็กกว่า 2.5 ไมครอน (1 ไมครอนคือ 1 ในล้านของ 1 เมตร หากเทียบให้เห็นภาพ PM2.5 มีขนาดเล็กกว่าเส้นผมมนุษย์ประมาณ 30 เท่า) ซึ่งเล็กมากจนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และสามารถแทรกซึมเข้าไปในปอดและกระแสเลือดได้ง่าย ฝุ่นชนิดนี้มีแหล่งกำเนิดมาจากกิจกรรมต่างๆ เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล การทำอุตสาหกรรม และการขนส่ง
ฝุ่น PM2.5 มีผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์อย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง มีการศึกษาจำนวนมากบ่งชี้ว่าการสัมผัสฝุ่น PM2.5 ในระยะยาวสามารถทำให้เกิดโรคร้ายแรง เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคระบบทางเดินหายใจ และมะเร็งปอด
ผลกระทบทางเศรษฐศาสตร์จากฝุ่น PM2.5 ในต่างประเทศ
การศึกษาจากหลายประเทศทั่วโลกชี้ให้เห็นว่าฝุ่น PM2.5 เป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ ในประเทศจีน ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าต้นทุนจากการสูญเสียรายได้ และการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับฝุ่น PM2.5 สูงถึงหลายพันล้านหยวน ในขณะที่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ก็พบว่าค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศมีมูลค่าที่สูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจเรื้อรังและโรคหัวใจและหลอดเลือด
จากการศึกษาในหลายประเทศ ผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 มักเกี่ยวข้องกับการสูญเสียโอกาสในการทำงานและการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุข ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการลดปริมาณฝุ่น PM2.5 จะสามารถประหยัดต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์ และปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชนได้อย่างมีนัยสำคัญ
ผลกระทบของ PM2.5 ต่อสุขภาพในกรุงเทพมหานคร
จากการศึกษาในกรุงเทพมหานครที่ดำเนินการ ระหว่างปี พ.ศ. 2558-2563 โดยอาศัยข้อมูลจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และสำนักงานประกันสังคม เพื่อประเมินค่ารักษาพยาบาลของผู้ป่วยและใช้ข้อมูลสถิติการเสียชีวิตด้วยโรคต่างๆ และรายได้เฉลี่ยของประชากร พบว่า การเพิ่มขึ้นของระดับความเข้มข้นของฝุ่น PM2.5 ในอากาศมีผลกระทบโดยตรงต่อการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร และการเข้ารับบริการในสถานพยาบาล
ผลการศึกษาพบว่า การเพิ่มขึ้นของความเข้มข้นเฉลี่ยของฝุ่น PM2.5 จะทำให้อัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด และการเสียชีวิตจากโรคระบบทางเดินหายใจเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ผลการศึกษายังแสดงให้เห็นว่าการเพิ่มขึ้นของความเข้มข้นเฉลี่ยของฝุ่น PM2.5 ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพในทันทีเท่านั้น แต่ยังมีผลกระทบสะสมในระยะยาว โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ที่พบว่ามีอาการซึมเศร้า วิตกกังวล และเครียดมากขึ้นในช่วงที่มีความเข้มข้นของฝุ่น PM2.5 สูง
วิธีการคำนวณต้นทุนจากฝุ่น PM2.5
การคำนวณต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์ (Economic cost) จากฝุ่น PM2.5 สามารถทำได้โดยการใช้ข้อมูลจากการเสียชีวิตและการรักษาพยาบาลที่เกิดจากโรคที่เกี่ยวข้องกับฝุ่น PM2.5 โดยใช้วิธีการที่เรียกว่า "Cost of Illness Approach"และ "Human Capital Approach"
1. Cost of Illness Approach: สำหรับการคำนวณต้นทุนทางตรง วิธีการนี้จะคำนวณจากค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลทั้งหมด ที่ผู้ป่วยต้องใช้ในการรักษาอาการจากการสัมผัสฝุ่น PM2.5
2. Human Capital Approach: วิธีการนี้ใช้ในการคำนวณต้นทุนทางอ้อมที่เกิดจากการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร โดยจะประเมินมูลค่าของการสูญเสียรายได้จากการทำงานที่ผู้เสียชีวิตสามารถสร้างได้หากยังมีชีวิตอยู่ โดยนำจำนวนปีที่ผู้เสียชีวิตสามารถทำงานต่อไปได้ คูณกับค่าเฉลี่ยรายได้ของประชากรในกลุ่มอายุนั้นๆ
ผลการศึกษาต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์ (Economic cost) ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
การศึกษาผลกระทบทางเศรษฐศาสตร์จากฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครได้คำนวณต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยต้นทุนทางตรงได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากโรคที่เกิดจากการสัมผัสฝุ่น PM2.5 ส่วนต้นทุนทางอ้อมได้แก่ การสูญเสียรายได้จากการหยุดงานหรือการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
ผลการศึกษาในช่วงปีพ.ศ. 2558-2563 พบว่า ต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นจากมลพิษฝุ่น PM2.5 อยู่ที่ประมาณ 2,200 ล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 370 ล้านบาท โดยต้นทุนทางอ้อมที่เกิดจากการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรมีมูลค่าสูงถึง 1,900 ล้านบาท หรือประมาณปีละ 320 ล้านบาท ในขณะที่ต้นทุนทางตรงจากค่ารักษาพยาบาลคิดเป็นมูลค่าประมาณ 264 ล้านบาท ตลอดช่วง 6 ปี หรือปีละประมาณ 44 ล้านบาท
การลดต้นทุนจาก PM2.5: แนวทางสำหรับกรุงเทพมหานคร
ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าหากเราสามารถลดระดับความเข้มข้นของฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพฯ ลงได้ประมาณ 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร จะสามารถลดต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์ได้ถึง 2,200 ล้านบาทภายในระยะเวลา 6 ปี หรือเฉลี่ยปีละ 370 ล้านบาท นอกจากนี้ยังสามารถลดจำนวนผู้ป่วยและการเสียชีวิต ที่เกี่ยวข้องกับโรคระบบทางเดินหายใจและหัวใจและหลอดเลือดลงได้
การลงทุนในระบบขนส่งสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ และ การลงทุนในพลังงานสะอาด รวมถึงการควบคุมกิจกรรมที่ก่อให้เกิดมลพิษฝุ่น PM2.5 อย่างเข้มงวดโดยภาครัฐน่าจะเป็นทางออกสำคัญที่จะบรรเทาปัญหานี้ได้ในระยะยาว