ทรัมป์ กับ แฮร์ริส หุ้นไทย...ตัวไหนดี!

31 ต.ค. 2567 | 23:09 น.

ทรัมป์ กับ แฮร์ริส หุ้นไทย...ตัวไหนดี! : คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์ วันที่ 1 พ.ย. 2567

*** ระหว่าง "โดนัลด์ ทรัมป์" และ "กมลา แฮร์ริส" ไม่ว่าใครจะได้ประธานาธิบดีคนใหม่ ของสหรัฐอเมริกา ภายหลังการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 5 พ.ย. 2567 ในฐานะของผู้นำประเทศที่เป็น “พี่ใหญ่” ของโลกเสรีก็ล้วนแล้วส่งผลกระทบ ไม่ว่าจะเป็นด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจไปยังทุกประเทศทั่วโลก ส่วนมากหรือน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับจุดยืน รวมไปถึงทำเลที่ตั้งของประเทศนั่นๆ 

แต่แน่นอนที่สุด...ผลกระทบที่ว่านี้ประเทศที่พยายามยืนอยู่ตรงกลางอย่างไทย ก็คงรับไปเต็มๆ ส่วนจะเป็นเรื่องดีหรือไม่ ก็คงจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ว่าแต่ระหว่าง "ทรัมป์" และ "แฮร์ริส" ใครจะส่งผลดีหรือเสียกับภาคเศรษฐกิจ รวมไปถึงหุ้นและตลาดหุ้นไทย กลุ่มไหน หรือ ตัวใด ได้มากกว่ากัน???

เริ่มจากในฝั่ง "กมลา แฮร์ริส" จากพรรค “เดโมแครต” ซึ่งนักวิเคราะห์จากหลายสถาบันมองว่า หากชนะการเลือกตั้งนโยบายของสหรัฐอเมริกา น่าจะยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง แม้ว่า “แฮร์ริส" จะเป็นอดีตรองประธานาธิบดี แต่ก็เป็นรองประธานาธิบดีที่แทบจะไม่มีบทบาทในเชิงการบริหาร เพราะ “โจ ไบเดน” ผู้นำสหรัฐที่มีอายุมากที่สุด ซึ่งกำลังจะกลายมาเป็นอดีตประธานาธิบดี ในอีกไม่กี่วัน ได้ทำการ “รวบ” งานบริหารเหล่านี้ไปอยู่กับตัวเองทั้งหมด 

ดังนั้น แนวทางของกลุ่มธุรกิจที่จะได้อานิสงส์จากการเป็นประธานาธิบดีของ "กมลา แฮร์ริส" จึงมีความเป็นไปได้ดังนี้

หุ้นในกลุ่มการเงินทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นหุ้นธนาคารอย่าง KBANK SCB BBL KTB หุ้นลีสซิ่งหุ้นบัตรเครดิต เช่น MTC SAWAD TIDLOR HENG AEONTS KTB หุ้นกลุ่มประกันอย่าง TLI BLA AYUD MTI เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ ที่มีทิศทางการปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องในปีหน้า 

ขณะเดียวกันการปรับลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง ยังจะส่งผลให้มีเงินทุน FUND FLOW  ไหลออกมายังตลาดหุ้นเอเชียและไทยเพิ่มขึ้น ดังนั้นหุ้นในกลุ่ม SET50 SET100 ก็จะได้อานิสงส์จากเงินที่ไหลออกมาเหล่านี้ด้วย 

ส่วนอีกกลุ่มคือ หุ้นกลุ่มพลังงานสะอาด เช่น GULF GPSC BGRIM EA BCPG BPPเนื่องจากพรรเดโมแครต มีนโยบายสนับสนุนพลังงานสะอาดมากกว่าพรรครีพับลิกันนั่นเอง ส่วนที่เหลือแต่เจ๊เมาธ์ได้ได้พูดถึงก็คงเป็นของเก่าๆ ที่แทบจะไม่เปลี่ยนแปลง

แต่ถ้าหากเป็น “อดีตแชมป์” อย่าง "โดนัลด์ ทรัมป์" จากพรรครีพับลิกัน สามารถคว้าชัยชนะกลับมาเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐ อีกครั้ง ก็จะทำให้นโยบาย America First กลับมาได้อีก ซึ่งผลกระทบที่จะตามมาก็คือต้นทุนการทำธุรกิจในสหรัฐ อาจลดลง จนกดดัน FUND FLOW ไหลกลับเข้าสหรัฐฯ มากขึ้น

และมีแนวโน้มที่เงินบาทจะอ่อนค่าและผันผวน ทำให้เงินเฟ้ออาจขยับเพิ่มจากราคาสินค้าที่ปรับสูงขึ้น รวมไปถึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจตรึงไว้ในระดับสูงนานขึ้น ซึ่งจะการเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของเศรษฐกิจของไทย และแน่นอนสงครามการค้าสหรัฐ-จีน จะกลับมาระอุอีกครั้ง นั่นหมายถึงการย้ายฐานการผลิตจากจีน เพื่อส่งสินค้าเข้าสหรัฐแทน  

กลุ่มหุ้นที่จะได้อานิสงส์จากการกลับมาเป็นประธานาธิบดีของ "โดนัลด์ ทรัมป์" อาจประกอบไปด้วย

หุ้นกลุ่มนิคมอย่าง AMATA ROJNA และ WHA ที่จะมีการย้ายฐานผลิตเข้าลงทุนที่ว่ามากขึ้น ส่วนหุ้นกลุ่มเดินเรืออย่าง RCL PSL TTA ซึ่งจะได้อานิสงส์จากค่า BDI ซึ่งกำลังปรับตัวสูงขึ้นมาอีกครั้ง
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่จะได้ประโยชน์จากการกีดกันสินค้าแล้วเทคโนโลยีของจีน เช่น  INSET AIT ICN

หุ้นในกลุ่มพลังงาน Fossil เช่น PTT PTTEP BANPU

หุ้นกลุ่มค้าเหล็กอย่าง TSTH  TMT 

อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของเจ๊เมาธ์ ระหว่าง "ทรัมป์" กับ "แฮร์ริส" ไม่ว่าจะเป็นใครมาเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐ ประเทศไทยของเราก็ยังจะต้องยืนอยู่ในระหว่ามกลางของความขัดแย้ง ขณะเดียวกัน เราเองก็ยังต้องทำมาหากิน ในแบบที่ประเทศเหล่านี้ยังคอยจ้องที่จะหาผลประโยชน์อยู่เหมือนเดิม 

แนวทางที่จะทำให้เราอยู่รอดได้ก็คือ การพึ่งพาตัวเองให้มากที่สุด อย่าไปคาดหวังว่าใครจะมา หรือใครจะไป แล้วจะได้ประโยชน์ สมคำโบราณที่ท่านว่า “ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน” ยังใช้ประโยชน์ได้อยู่เสมอเจ้าค่ะ