*** โลกกำลังจับตามอง สัปดาห์หน้าใครจะขึ้นเป็นผู้นำสหรัฐคนใหม่ ระหว่าง โดนัล ทรัมป์ กับ กมลา แฮร์ริส แน่นอนการเคลื่อนไหวปรับเปลี่ยนผู้นำของประเทศมหาอำนาจสหรัฐอเมริกา แต่ละบาทก้าวสะเทือนไปทั่วโลก โพลล์เมื่อเข้าสู่ 2 สัปดาห์สุดท้าย (23 ต.ค.) Reuters ร่วมกับ IPSOS ให้ กมลา แฮร์ริส มีคะแนนนิยมนำทรัมป์ที่ 46.0% ต่อ 43.0%
ขณะที่ผลสำรวจ Five-Thirty-Eight แฮร์ริส มีคะแนนนิยมนำ ทรัมป์ ที่ 48.2% ต่อ 46.4% ล่าสุด 7 วันก่อนหย่อนบัตรลงคะแนน ทรัมป์ พลิกกลับมานำ แฮร์ริส 1 จุดไปแล้ว ทั้งหมดไปว่ากัน 6 พ.ย. ที่ประชาชนสหรัฐ จะใช้สิทธิเลือกผู้นำของเขาและเป็นผู้นำของโลก
*** ถ้าผลการเลือกไปออกที่ พรรคเดโมแครต กมลา แฮร์ริส ชนะ นักวิเคราะห์จากสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า เขาว่า นโยบายจะมุ่งเน้นลดค่าใช้จ่ายสำหรับชนชั้นแรงงาน ควบคุมราคาสินค้าอุปโภคบริโภค เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ เพิ่มสวัสดิการสังคม ควบคุมราคายา/ค่ารักษาพยาบาล/พลังงานในประเทศ นโยบายด้านการต่างประเทศและการค้าระหว่างประเทศจะเป็นไปในทิศทางเดิม และจะมีการส่งเสริมความร่วมมือด้านเทคโนโลยีกับพันธมิตรในภูมิภาคเอเชีย
ไทยจะได้ประโยชน์จากการถ่ายทอดเทคโนโลยี และการลงทุน อาจมีแนวโน้มใช้มาตรการทางภาษีกับจีนที่นุ่มนวลกว่า ทรัมป์ แต่ก็ยังอาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน ที่เชื่อมโยงกับจีนอย่างเลี่ยงไม่ได้ และอาจได้ประโยชน์จากผลดีต่อการลงทุนในประเทศ โดยเฉพาะด้านพลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ และ พลังงานชีวมวล ซึ่งอาจเปิดโอกาสให้บริษัทไทย ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้ เข้าร่วมลงทุนในสหรัฐฯ
รวมถึงการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ส่งเสริมการลงทุนในเทคโนโลยี 5G และ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) นโยบายที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนอุตสาหกรรมสีเขียว ส่งผลให้ไทยอาจต้องปรับเพิ่มมาตรการการผลิต เพื่อให้รักษาส่วนแบ่งตลาดภายในสหรัฐฯ ซึ่งจะก่อให้เกิดต้นทุนส่วนเพิ่มที่เลี่ยงไม่ได้
*** ถ้าหากหวยออก โดนัลด์ ทรัมป์ คัมแบ็คอีกรอบ นโยบายจะเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ สอดคล้องกับการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ส่งผลต่อเนื่องให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น กระทบต่อความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกของไทย และอาจเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ด้านนโยบายการต่างประเทศและจุดยืนบนเวทีความมั่นคงโลกในด้านภูมิรัฐศาสตร์ ลดการให้ความช่วยเหลือประเทศที่อยู่ในพื้นที่ขัดแย้ง เช่น ยูเครน และลดบทบาทใน NATO
ปกป้องทางการค้า ตอบโต้ทางการค้ากับจีน ที่ไทยอาจได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตมาไทย ความต้องการสินค้าทดแทนสินค้าจีนจากไทยมากขึ้น แต่ได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าและด้านลงทุนอาจลดลง โดยทรัมป์เลือกภายในก่อน
*** เตรียมการล่วงหน้า แต่ไม่แน่ใจจะบรรเทาเบาบางได้หรือไม่กับ ฝุ่นควันพิษ PM 2.5 ที่จะหนักหนาในทุกหน้าหนาว นายกฯอิ๊งค์ แพทองธาร ชินวัตร ให้ ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไปหาทางเร่งรัดแก้ไข รับมือก่อนเข้าหน้าหนาว ไปดูให้ครบทั้งการไม่ให้รับซื้อข้าวโพด อ้อย จากการเผาป่าทั้งในและต่างประเทศ รวมไปถึงฝุ่นควันพิษในภาคอุตสาหกรรม ที่ปล่อยจากโรงงานที่กระทรวงอุตสาหกรรมต้องเข้มงวด ให้กระทรวงคมนาคมไปกวดขันรถยนต์ปล่อยควันดำให้เข้มงวดมากขึ้น
*** ว่าที่จริงก็แก้ได้ตรงจุด เพราะการปล่อยฝุ่นควันพิษ PM 2.5 มาจาก 3 ส่วนหลัก ไอเสียจากรถยนต์ รถยนต์ ควันดำจากท่อไอเสีย นี่แหล่ะแหล่งปล่อยสำคัญ ตามมาด้วย ฝุ่น ควัน อากาศพิษจากโรงงานอันนี้ก็หนักมากที่ปล่อยเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ ไม่มีลม หรือ มีความกดอากาศปะทะก็กดลงมาเป็นอากาศเราหายใจเข้าไป และที่ปล่อยควันตรงๆ นี่ก็เผาป่า เผาตอซังข้าว ข้าวโพด อ้อย หนักหน่อยในพื้นที่ภาคเหนือ ทั้งมาจากเพื่อนบ้านและภายใน
ถ้าช่วยกันแก้ใน 3 จุดที่ว่าได้ ก็จะช่วยบรรเทาเบาบาง ไม่ต้องหายใจเอาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 เข้าไป ว่ากันว่าเป็นอันตรายที่มองไม่เห็นโดยตรง แต่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพก่อให้เกิดโรคอื่นตามมาอย่างแน่นอน เมื่อหายใจเข้าไปสะสมในปอด ระบบทางเดินหายใจ ก็ต้องบอกว่าให้ทุกฝ่ายเดินหน้าเต็มกำลัง ในการช่วยกันให้ฝุ่นควันพิษ บรรเทาเบาบางลงให้ได้