ในเวที การประชุมผู้บริหารภาคธุรกิจเอกชน(APEC CEO Dialogues) ซึ่งเป็นเวทีคู่ขนาน การประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือ เอเปค ภายใต้หัวข้อผลกระทบที่ตามมาหลังวิกฤติโควิด-19 ผ่านระบบการประชุมทางไกลโดยมีมาเลเซียเป็นเจ้าภาพ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน กล่าวสุนทรพจน์ ระบุว่า จีนยังคงยึดมั่นต่อนโยบายเศรษฐกิจที่เปิดกว้าง และเตือนว่าการใช้มาตรการปกป้องทางเศรษฐกิจจะทำให้มีความไม่สมดุลในการฟื้นฟูประเทศจากสถานการณ์โควิด-19
ผู้นำจีนยังกล่าวด้วยว่าความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือ อาร์เซ็ป (RCEP) ที่มีการลงนามในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา (15 พ.ย.) ทำให้เอเชีย-แปซิฟิกเป็นผู้บุกเบิกการเติบโตของโลกที่ได้รับผลกระทบจากความท้าทายหลายประการ รวมถึงโควิด-19 และทั้งนี้ หนทางที่จะเอาชนะได้คือการที่ประชาคมโลกต้องมีความร่วมมือกันในการเอาชนะ และร่วมมือกันในการฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน โดยจีนสนับสนุนการเปิดเสรีด้านการค้าและการลงทุน เพื่อนำไปสู่การบรรลุข้อตกลงการค้าเสรีคุณภาพสูงกับอีกหลายประเทศทั่วโลก
นอกจากนี้ นายสี จิ้นผิง ยังระบุว่า จีนมีนโยบายทางเศรษฐกิจที่เน้นการผลิตและการบริโภคภายในประเทศเป็นหลักจึงสามารถเป็นพื้นฐานให้กับการฟื้นฟูเศรษฐกิจตั้งแต่ระดับฐานราก ซึ่งเป็นแกนหลักของ "แผนยุทธศาสตร์วงจรคู่"หรือการพัฒนาอย่างสมดุลทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เอเปคพร้อมหนุนการฟื้นตัวทางศก.จากโควิด
"ทรัมป์" เตรียมพบ "สี" บนเวที “เอเปค”ออนไลน์
อย่างไรก็ตาม การรับปากเปิดกว้างทางการค้าของจีนทำให้เกิดคำถามตามมา เนื่องจากจีนมักจะใช้ข้อจำกัดทางการค้าหรือความเป็นประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่เป็นเครื่องมือทางการเมือง อาทิ กรณีของออสเตรเลีย ซึ่งอยู่ในกลุ่มประเทศเอเชีย-แปซิฟิกด้วย จีนได้ขึ้นภาษีหรืองดนำเข้าข้าวบาร์เลย์ เนื้อ และไวน์จากออสเตรเลีย หลังออสเตรเลียเรียกร้องให้ตรวจสอบต้นตอของเชื้อไวรัสโคโรนา
สำหรับการประชุมระดับผู้นำของเอเปค ซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิก 21 ประเทศในแถบแปซิฟิกร่วมด้วยจีนและสหรัฐฯ 2 ประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก มีสัดส่วนเศรษฐกิจร้อยละ 60 ของจีดีพีทั่วโลก กำลังจะมีขึ้นในวันนี้ (20 พ.ย.) ผ่านระบบการประชุมทางไกลออนไลน์ โดยมีมาเลเซียเป็นเจ้าภาพ
ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวรอยเตอร์สได้รายงานอ้างอิงแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่รายหนึ่งว่า ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา จะเข้าร่วมการประชุมทางไกลนี้ด้วย ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง จะนับเป็นการเข้าร่วมการประชุมเอเปคครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 2560 ที่ทรัมป์เคยเข้าร่วมครั้งล่าสุด อย่างไรก็ตาม ด้านทำเนียบขาวปฏิเสธการให้ความเห็นต่อข่าวการเข้าร่วมประชุมเอเปคของทรัมป์