สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโรคโควิด-19 ในประเทศไทยระลอก 3 ล่าสุดเมื่อวันที่ 20 เมษายนที่ผ่าน มายังคงมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่จำนวน 1, 443 ราย ซึ่งยังคงเป็นยอดติดเชื้อที่สูงเกินหลักพันต่อเนื่องหลายวัน และยังไม่ทีท่าชะลอตัวลงในระยะอันสั้น และยอดสะสมพุ่งกว่า 4.3 หมื่นราย อัตราการเสียชีวิตพุ่งขึ้นเร็วกว่ารอบแรก และรอบสอง
ยอดผู้ติดเชื้อโควิดที่เพิ่มขึ้นสูงและเชื้อสายพันธุ์ที่รุนแรงขึ้น ทำให้ผู้ติดเชื้อต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลนานขึ้น จนหลายพื้นที่เริ่มส่อปัญหาเตียงพยาบาล และเครื่องมือไม่เพียงพอ ซึ่งส่งผลกระทบกับผู้ป่วยอื่นในการรักษาพยาบาลไปด้วยขณะนี้ ฉนั้นทุกฝ่ายทั้งรัฐและเอกชนต้องระดมกำลังช่วยเสริมเตียงพยาบาลในโรงพยาบาลสนามให้ได้มากที่สุด เพื่อรองรับผู้ป่วยที่มีอาการไม่หนักมากเกินไป
จากสถานการณ์ยอดผู้ติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้นส่งผลกระทบไปทุกด้าน ทั้งภาคสาธารณสุข และ ภาคเศรษฐกิจ ซึ่งทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าวัคซีนจะเป็นทางเลือกและทางออกเดียวในขณะนี้ ที่จะบรรเทาเบาบางผลกระทบจากโควิด-19 จึงต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในการก้าวผ่านวิกฤติประเทศไปด้วยกันให้ได้
ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า การจัดการจัดหาวัคซีนโควิ-19 ในระดับที่เพียงพอมีปัญหาอยู่มาก และยังมีประเด็นต่อเนื่องตามมาในการกระจายวัคซีนและบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นผู้ฉีดวัคซีน ไม่เพียงพอกับระดับที่ต้องการ 70% ของจำนวนประชากร โดยอัตราการได้รับวัคซีนของไทยอยู่ในระดับต่ำมาก เมื่อเทียบกับประเทศอาเซียนและโลก
เราเห็นด้วยกับข้อเสนอของสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในการเข้าช่วยเหลือภาครัฐ ในการจัดหากระจายวัคซีน โดยรัฐเอื้ออำนวยความสะดวกให้เอกชนเข้าถึงวัคซีนอย่างรวดเร็ว รวมทั้งการฝึกอบรมบุคลากรเฉพาะกิจในการฉีดวัคซีน ซึ่งวัคซีนจะเป็นเดิมพันสุดท้ายของประเทศ เป็นบทพิสูจน์สำคัญที่ทุกฝ่ายต้องผนึกกำลังก้าวไปด้วยกันให้ได้ ไปสู่แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ด้วยกัน